บิ๊กตู่ยัวะ!ไล่-ขู่ฟ้อง โวยถึงเวลาทวงศักดิ์ศรี/กองทัพจับตากทม.หลังคลายล็อก


เพิ่มเพื่อน    

  "บิ๊กตู่" โวยสื่อบิดเบือนจนยอมไม่ได้แล้ว  ลั่นถึงเวลาต้องดำเนินคดีเพื่อรักษาศักดิ์ศรี จ่อถาม ปชช.หนังสือพิมพ์ฉบับไหนเชื่อมั่นมากที่สุด ตะเพิดนักข่าวพ้นทำเนียบฯ ห้ามมาต่อปากต่อคำ เผยถก คสช.คลายล็อก อังคารหน้า โอดขอเวลาหน่อยอย่าหาว่าเห็นแก่ตัว "ผบ.ทบ." สั่งกำลังพลเตรียมรับมือคลายล็อกการเมือง "ชทพ.-พท." ประสานเสียงต้องปลดล็อกเท่านั้น "พิภพ"  ฟันธงวิกฤติใหญ่เกิดแน่ เหตุทักษิณต้องการเผด็จศึก

    เมื่อวันศุกร์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2561 (Prime Minister's Export Award 2018) ว่า อย่ามาบอกว่าตนปิดกั้นการเป็นประชาธิปไตย แต่บ้านเมืองมันจะวุ่นวายไหม ไปคิดเอาแล้วกัน ถ้าวุ่นวายกันต่อ วันหน้าไปแก้กันเอาเอง ตนพยายามเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าวุ่นวายกันอยู่แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องของท่าน มีกลไกและกฎหมายออกมาเยอะแยะ ตนไม่ต้องไปสั่งใคร กฎหมายดีทุกตัว วันนี้ปัญหาเยอะทุกวัน ถ้าข้างล่างไม่เข้าใจก็มีปัญหาทุกเรื่อง กับสื่อตนก็ไม่เคยไปตรวจสอบหรือปิดกั้น แต่อะไรที่มันบิดเบือน กลไกที่ตรวจสอบมีอยู่แล้ว หรือบิดเบือนจนเกินไป จนมีคดีฟ้องร้องก็ว่ากันไป แต่คนส่วนใหญ่มักจะเกรงใจไม่อยากเป็นปัญหามีคดีความกับสื่ออะไรต่างๆเสียเวลา
    “แต่วันนี้ผมคิดว่าผมต้องดำเนินการแล้ว เหมือนที่คนด่าพวกท่าน ท่านก็ใช้กฎหมายหมิ่นประมาท หน่วยงานเขาก็ต้องรักษาศักดิ์ศรี ถ้าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น แล้วไปว่าเขา เขาก็มีสิทธิ์ในการป้องกันตัวของเขาเหมือนกัน สื่อเองก็ต้องระวังตัว ผมไม่ได้ขู่สื่อ เดี๋ยวกลายเป็นการขู่สื่ออีกทุกเรื่อง อย่างใช้คำว่าปัด เหมือนกับว่าปฏิเสธ ความจริง พอชี้แจงดีขึ้นบอกว่าฟุ้ง ซึ่งสื่อคือตัวชี้นำ วันนี้ก็บอกว่านายกฯ เป็นคนใจร้อน พูดไม่เข้าหูใคร อาทิตย์ไหนถ้าผมไม่อ่านหนังสือพิมพ์เลยน่าจะมีความสุขดี   ตอนนี้กำลังคัดออกว่าฉบับไหนผมไม่อ่าน ไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศเลย น้อยมาก ทุกคอลัมน์ เดี๋ยวจะถามประชาชนว่าหนังสือพิมพ์ฉบับไหนเชื่อมั่นมากที่สุด แล้วขอให้ตอบมาด้วย ไอ้เรื่องที่เสนอครั้งเดียวจบไปพาดหัวหนึ่ง แล้วจะดีกับการค้าการส่งออกของเราอย่างไร การลงทุนของเราจะเกิดขึ้นได้ไหม จะไม่รับผิดชอบอะไรอย่างนี้ไม่ได้ ผมไม่ได้กล่าวว่าของใคร ถ้าผมใช้อำนาจของผมจริงๆ ไม่มีหรอกไอ้เรื่องพวกนี้ ยังไม่เคยทำแบบนี้สักครั้ง พูดไปก็เสียอารมณ์ แต่ทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ชี้แจงได้ ส่วนสื่อดีๆ นักการเมืองดีๆ ที่มีอยู่ก็ต้องขอขอบคุณ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม คสช. เพื่อพิจารณาคลายล็อกพรรคการเมืองว่า จะประชุมในวันอังคารที่ 28 ส.ค.นี้ ส่วนประเด็นการคลายล็อกต่างๆ ขอให้ไปถามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เพราะได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายไปดูแล้วว่ามีข้อติดขัดอย่างไรบ้าง จากนั้นให้นำมาเสนอต่อที่ประชุม คสช. ก็โอเคตามนั้น การจะมาถามหมดทุกเรื่อง บางทีก็ตอบไม่ได้ เพราะว่ามีคนทำงานเป็นกลุ่มๆ อยู่แล้ว อันนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
    “ก็ไม่ใช่ว่ากฎหมายที่ออกมาแล้วมันผิด มันไม่ใช่ การออกกฎหมายมา ก็หวังว่าจะให้ใช้อย่างยาวนาน ยั่งยืน เพื่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง แต่ไม่ใช่ว่าออกมาแล้วก็มีปัญหาอีก แล้วการเมืองไม่อยากปฏิรูปไหมล่ะ ถ้าไม่อยากปฏิรูปมันก็มีปัญหา ผมถึงบอกว่าอะไรที่ทำได้ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นวันข้างหน้าจะกลับไปที่เดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไม่ปฏิรูป แต่ท่านไม่ยอม แล้วจะให้ทำอย่างไร จะให้บังคับกันหรือ เพราะกฎหมายธรรมดายังไม่ปฏิบัติกันเลย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
    จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์ พร้อมเดินไปพูดคุยกับ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก่อนหันมาทางสื่อแล้วบอกว่า “ทำไมไม่ถามประเด็นเศรษฐกิจบ้าง สนใจบ้างหรือไม่ การค้าการพาณิชย์ให้ถามกันบ้าง เพราะการเมืองไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นทั้งหมด”
    ผู้สื่อข่าวได้กล่าวตอบว่า ตัวเลขเศรษฐกิจดีอยู่แล้ว และก็มีนักข่าวสายเศรษฐกิจเป็นคนตามอยู่ พล.อ.ประยุทธ์จึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เธออย่ามาต่อปากต่อคำกับฉัน” พร้อมกับเดินขึ้นบันไดไปยังตึกไทยคู่ฟ้า ขณะที่ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้พูดติดตลกว่า "ต่อปากต่อคำก็ไม่ได้ด้วย" ซึ่งจังหวะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ยินพอดี จึงถึงกับโมโหและหันมาตะคอกด้วยเสียงดังว่า “ก็ไม่ได้ไง นินทาอะไรวะ ไม่ต้องมาต่อปากต่อคำกับฉันหรอก ต่อปากต่อคำไม่ได้ก็ออกไปข้างนอกโน่น ใครที่พูดเมื่อกี้” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินเข้าไปในตึกไทยคู่ฟ้าทันที
ขอเวลาอย่าหาว่าเห็นแก่ตัว
    ช่วงค่ำ เวลา 18.30 น. ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 61 โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐวิสาหกิจทำงานร่วมกับตนมา 4 ปีแล้ว วันนี้มอบรางวัลให้ท่าน แต่ท่านต้องทำรางวัลให้กับชาวบ้านด้วย ทำให้ทุกคนมีความสุข เข้าถึงโอกาส เหมือนกับการตอกเสาเข็มประเทศให้แข็งแรง ที่บ้านหลังนี้มีคนอยากอยู่เยอะ โดยมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ขณะที่ข่าวโซเชียลมีเดียออกมาติติง ใครพูดก่อนเชื่อก่อน แต่เวลาเราพูดยังไงก็ไม่เชื่อ ดังนั้นต้องชี้แจงให้ได้ ขอเถอะ ปรับตัวให้ได้ ปรับความคิด วิธีการ เพราะเรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง ต้องคิดให้ไกลไปให้ถึง ทยอยทำไปเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ ฟังความต้องการประชาชนด้วย ปีหน้าตนไม่รู้จะได้พูดอยู่หรือเปล่า คงไม่ได้พูด เพราะมีรัฐบาลใหม่แล้ว แต่วิสาหกิจต้องทำให้สำเร็จ
    "ผมเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่วันนี้พูดด้วยอารมณ์ปกติ ผมก็พูดเสียงดังอย่างนี้ ถ้าโมโหก็อีกเรื่องหนึ่ง อยู่กับทหารก็อีกแบบหนึ่ง ทุกวันนี้ประคับประคองจิตใจมากที่สุดแล้ว แต่ไม่ขออดทนต่อการมายั่วยุ เป็นนายกฯพูดจาไพเราะแล้วทำอะไรได้ไหมล่ะ พูดแต่ครับๆ ดีๆ หรือทำโน้นทำนี้ให้ แล้วทำไม และขอให้จับตาตอนหาเสียง คนที่พูดอะไรไว้ทำอะไรได้บ้าง ถ้าไม่มีงบประมาณก็ทำไม่ได้ และขอโทษที่ไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารด้วย ขออนุญาตกลับไปอยู่กับครอบครัว เพราะภริยากับลูกออกบ้านแต่เช้าไม่ได้เจอ เพราะผมทำงานแบบไม่มีวันหยุดราชการ ขอเวลาหน่อย อย่าหาว่าผมเห็นแก่ตัวหรือเป็นเผด็จการ หัวใจผมให้ท่านอยู่แล้ว ให้คนไทยทั้งประเทศ ถ้าผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้ พูดกับท่านไม่ได้แบบนี้แน่ ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ใช่ขยิบตาซ้ายขยิบตาขวา แต่ผมมองคนทั้งโลก เพราะผมไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีใครรู้เท่าตัวเราเอง และทุกคนรู้ว่าผมเข้ามาเพื่ออะไร ก็อยากให้ช่วยกันทำงาน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ที่หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.)พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. เดินทางมาตรวจเยี่ยมนปอ. เนื่องในโอกาสเตรียมอำลาตำแหน่ง ผบ.ทบ. พร้อมกล่าวให้โอวาทกำลังพลตอนหนึ่งว่า ในฐานะที่ นปอ.มีอีกบทบาทคือการเป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพฯ โดยในเดือนก.ย.นี้ คสช.จะมีการผ่อนคลายให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ ตามที่รัฐบาลได้กำหนดโรดแมปขึ้นในการเลือกตั้งช่วงต้นปี 2562 โดยจะมีการคลายล็อกคำสั่ง คสช. ซึ่งจะมีหลายส่วน หลายขั้ว และหลายพรรค เคลื่อนไหวทางการเมือง ในฐานะกองกำลังรักษาความสงบ จึงขอให้เตรียมการให้พร้อมตลอดเวลา
 นปอ.เป็นหน่วยทหารที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางหรือกรุงเทพฯ เพราะเป็นจุดที่อ่อนไหว ซึ่งจะมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นได้ตลอดทุกเมื่อ จึงต้องพร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง
    ด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม เตรียมเสนอให้ คสช.พิจารณาคลายล็อก 6 ข้อให้พรรคการเมืองว่า เห็นว่าโดยหลักการนายวิษณุไม่ต้องเสนอ คสช.หรอก แต่ควรเสนอให้ คสช.ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และปฏิบัติตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งเพียงพอแล้ว เพราะทุกวันนี้พรรคการเมืองและประชาชนทั่วไปต่างเคารพกติกาและปฏิบัติตามกฎหมายกันทั้งนั้น เหลือเพียง คสช. เพียงแค่ปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ และทำตามข้อบัญญัติเท่านั้น ไม่ต้องยุ่งยากทำให้คนเขาติฉินเอาอีก จะมาใช้มาตรา 44 พร่ำเพรื่อจนกระทั่งคลายความศักดิ์สิทธิ์ไปหมดแล้ว หรือกลายเป็นของตลกทำให้ผู้คนสับสน ว่าระหว่างรัฐธรรมนูญกับมาตรา 44 ใครจะใหญ่กว่ากัน เรื่องนี้รัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ปฏิบัติอยู่นี้มีเจตนาอะไร มีเป้าหมายอยู่ที่ไหน คงไม่ต้องพูดกันชัดเจนนัก
ชทพ.-พท.บี้ปลดล็อก
    ทั้งนี้ นายวิษณุได้เปิดเผยถึงข้อเสนอ 6 ข้อ คือ 1.พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่ เพื่อรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติมได้ 2.ให้ความเห็นเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งได้ 3.สามารถดำเนินการเกี่ยวกับไพรมารีโหวตได้ 4.ตั้งกรรมการเพื่อสรรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ 5.ติดต่อประสานงานกับสมาชิกได้ ข้อ 6.จำไม่ได้ แต่ไม่ใช่การหาเสียงเลือกตั้ง
    นายสมศักดิ์กล่าวว่า ถ้า 6 ข้อนี้ผ่านออกมา อาจจะทำให้ผ่อนคลายขึ้น แต่การทำไพรมารีโหวตให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องยาก หากต้องการเห็นทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการเลือกตั้ง 24 ก.พ.62 จะต้องคิดถึงองค์ประกอบที่ทำให้เกิดความสมดุลคือ พรรคการเมือง นักการเมือง คสช. รัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องมีความสัมพันธ์กัน ถ้าไม่ปลดล็อก แล้วเพียงแค่คลายล็อกบางส่วน ทำให้พรรคการเมืองยังทำงานไม่ได้ ไม่คล่องตัว การเลือกตั้งที่ต้องการเห็นคงเป็นไปได้ยาก หากต้องการเห็นการเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแมปจริงๆ ก็พยายามปลดล็อกให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้โดยสะดวก
    นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต่อให้คลายล็อก 6 ประเด็น แต่คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ให้ยุบสาขาพรรค แล้วจะจัดประชุมได้อย่างไร เพราะตามกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง การประชุมพรรคต้องมีสาขาพรรคระบบไพรมารีโหวต ที่จะให้ทำวันนี้ก็ยังไม่รู้จะให้ทำแบบไหน แบบจังหวัดหรือแบบภาค ทุกอย่างยังคลุมเครือ คลายล็อกเป็นประเด็นแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ หากกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมืองยังไม่ชัดเจน และยังขัดแย้งกันอยู่กับคำสั่ง คสช. เมื่อรัฐบาลจะให้มีการเลือกตั้งเดือน ก.พ.62 ก็ควรทำทุกอย่างให้ชัดเจน แล้วเปิดให้พรรคการเมืองเดินหน้าทำกิจกรรม โดยแก้คำสั่ง คสช. ที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ทุกฝ่ายจะได้เดินหน้าได้ไปสู่การเลือกตั้งได้ ไม่ต้องมานั่งตีความให้วุ่นวายเช่นนี้   
     นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า “ประชาชนทนเผด็จการมาเกือบ 5 ปี แต่พอหาเสียงบอก 20 วันก็พอ เอาอะไรคิดครับ” หลังจากที่นายวิษณุให้สัมภาษณ์เรื่องเวลาการหาเสียงเลือกตั้งเอาให้พอดีอย่าง 20 วันก็สั้นเกินไป 90 วันก็ยาวเกินไป
     นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกกลุ่มสามมิตร เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำกลุ่มสามมิตร ได้ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น เพื่อร่วมเสวนาวิชาการ “โคเนื้ออีสาน กับนโยบายรัฐบาลหน้า” จัดโดยสมาคมโคเนื้ออีสาน สภาเกษตรกรจังหวัดขอนแก่น และสหกรณ์โคขุนขอนแก่นพรีเมี่ยมบีฟ จำกัด ที่ห้องประชุมสำนักงานสภาเกษตรจังหวัดขอนแก่น ซึ่งการเดินทางไปร่วมบรรยายของนายสมศักดิ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่การเคลื่อนไหวใดๆ ทางการเมือง เพราะเป็นกำหนดการที่มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และเป็นเพียงการอธิบายให้พี่น้องเกษตรกรได้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า การเลี้ยงโคนั้นจะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจนได้ 
         สำหรับกรณีที่นายกฯ ระบุถึงเรื่องการเลือกตั้งในเดือน ก.พ.2562 นั้น นายธนกรกล่าวว่า ทางกลุ่มสามมิตรไม่มีปัญหาอะไร จะกำหนดเมื่อไรก็เมื่อนั้น ส่วนที่กลุ่มสามมิตรที่ถูกโจมตีนั้น ยืนยันว่ากลุ่มสามมิตรไม่ได้อึดอัดอะไร เพราะเรามีเจตนาบริสุทธิ์ในการไปช่วยเหลือประชาชน แต่อะไรที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจก็คงจะชะลอ ในส่วนของงานวิชาการที่มีการเชิญไปบรรยายหรือเป็นวิทยากรเพื่อให้ความรู้กับเกษตรกรนั้น ยังคงจะต้องไป แต่ยืนยันว่าจะปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
เอกชัยจี้จับคนทำร้าย
    วันเดียวกัน ที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล นายเอกชัย หงส์กังวาน ได้อ่านแถลงการณ์ยืนยันการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธี ตรวจสอบ และต่อต้านเผด็จการ ภายหลังถูกชายใช้ไม้แหลมฟาดทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าบ้านของตนเองเมื่อวันที่ 22 ส.ค. เนื่องจากมายื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบในหลายเรื่อง โดยเฉพาะกรณีนาฬิกาหรู 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โดยมีนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนายอานนท์ นำภา ทนายความอาสาของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
    โดยนายเอกชัยกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นกับตน ซึ่งเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปราบทุจริต และตรวจสอบ พล.อ.ประวิตรเรื่องการครอบครองนาฬิกาหรู นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. กลับไม่ดำเนินการใดๆ เพียงแต่ระบุให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย และต่อมาตนถูกคุกคามและทำร้ายร่างกาย จากการออกมาเคลื่อนไหวถึง 3 ครั้งด้วยกัน จึงขอเรียกร้องให้ คสช.ออกมาชี้แจงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะมือที่สามต้องการสร้างสถานการณ์ หรือเป็นคนของ คสช. ที่ทำไปเพราะต้องการเอาใจนาย โดยเข้าไปสอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิด เพื่อให้เกิดความกระจ่าง หาก คสช.เพิกเฉยอาจทำให้สังคมกล่าวหาได้ว่ามีส่วนรู้เห็นกับการทำร้ายตน และขอยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวตรวจสอบทุจริตด้วยสันติวิธีและต่อต้านเผด็จการต่อไป
     สำหรับนายเอกชั ยยังคงใส่เฝือกอ่อนที่แขนซ้าย เพื่อรักษาอาการกระดูกนิ้วนางและนิ้วก้อยแตกจากการถูกทำร้าย โดยมีผ้าพันแผลบริเวณแขนซ้าย ระหว่างการอ่านแถลงการณ์ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าร่วมสังเกตการณ์จำนวนมาก จนนายเอกชัยเดินทางกลับแล้วจึงแยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
    ส่วนกรณีที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ตัวแทนฝ่ายกฎหมาย คสช. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีที่นายธนาธรไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊กพาดพิงถึง คสช.นั้น น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยว่า นายธนาธรได้ให้ทนายความไปขอเลื่อนหมายเรียกดังกล่าว เนื่องจากติดภารกิจต้องไปพูดคุยกับประชาชนในจังหวัดต่างๆ อีกทั้งหมายเรียกที่ได้รับค่อนข้างกระชั้นชิด จึงไม่สามารถเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาได้ ซึ่งได้เลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 17 ก.ย.61 เวลา 10.00 น. และพนักงานสอบสวนอนุญาตให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาในวันดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
    นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า ระบอบเผด็จการใช้ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมืออยู่ 4 ลักษณะ ดังนี้  1.การแปลงความต้องการของเผด็จการให้เป็น “กฎหมาย” เพื่อให้การใช้อำนาจของเผด็จการไม่แลดู “ดิบเถื่อน” จนเกินไปนักคือ การเปลี่ยน “ปืน” ให้กลายเป็น “กฎหมาย” โดยเอา “กฎหมาย” ไปห่อหุ้ม “ปืน” 2.การนำ “กฎหมาย” ของเผด็จการไปใช้บังคับเพื่อจับกุมคุมขัง ลิดรอนเสรีภาพของบุคคลที่ต่อต้านเผด็จการ ทำให้การใช้อำนาจของคณะผู้เผด็จการไม่อาจถูกตรวจสอบได้เลย  3.การนำ “กฎหมาย” ที่มีอยู่แล้ว ไปใช้ในทางไม่เป็นคุณกับเสรีภาพ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาตรา 116 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาใช้ 4.การนำ “กฎหมาย” ที่มีอยู่แล้วไปใช้แบบบิดเบือน บิดผันอำนาจ (abuse of power) เพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์ของเผด็จการ ควบคุมพฤติกรรมของฝ่ายต่อต้านเผด็จการ
ทักษิณตัวก่อวิกฤติใหญ่
          "การนำกฎหมายที่มีอยู่แล้วมาใช้อย่างบิดเบือนของฝ่ายเผด็จการนี้ ช่วยให้ฝ่ายเผด็จการสามารถ “ผ่อนหนักผ่อนเบา” และประเมินสถานการณ์ได้ตลอดเวลาว่าช่วงใดควรปล่อย ช่วงใดควรจับ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายต่อต้านเผด็จการก็ถูกกดด้วยกระบวนการทางกฎหมายเหล่านี้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้เต็มที่ ทำให้ระบอบเผด็จการกลายเป็น soft coup, soft dictator ในขณะที่ภาพของการต่อต้านเผด็จการก็ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวาง เพราะประชาชนหวาดกลัวการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ส่วนระบอบเผด็จการ สามารถอาศัยความชอบธรรมจาก “กฎหมาย” อ้างต่อชาวโลกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และสถานการณ์ภายในประเทศสงบเรียบร้อย ปราศจากการต่อต้าน" นายปิยบุตรระบุ
    นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก  เรื่อง วิกฤติการเมืองไทย นับหนึ่งใหม่หลังวันเลือกตั้ง โดยเชื่อว่าจะเกิดวิกฤติทางการเมืองอีกรอบหลังเลือกตั้ง แต่น่าจะหลังนายกฯ คนต่อไป ซึ่งจะไม่ใหญ่โตมากนัก วิกฤตินั้นก็ยังมาจากเหตุเดิมคือตัว "ทักษิณ" ที่ยังไม่ยอมแพ้ และไม่มีเหตุให้ทักษิณต้องยอมแพ้เสียด้วย ยิ่งเห็นลู่ทางชนะการเลือกตั้ง เข้ามาต่อรองอำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ได้ใหม่ ก็ยิ่งฮึดสู้ เพราะ "สงคราม" ในความคิดของทักษิณยังจบไม่ลง คล้ายสมัยสงครามยุค "นโปเลียน" ต้องให้เกิดการเผด็จศึกแบบสงครามวอเตอร์ลู และนำไปสู่เกาะ Saint Helena เท่านั้น สงครามทักษิณจึงจะจบ แต่จะไม่เกิดวิกฤติใหญ่ถึงเลือดนองท้องช้าง เพราะยุคสมัยนี้มีตัวควบคุม คือ กองทัพ กลุ่มทุนใหญ่ สถาบันกษัตริย์ และวัฒนธรรมไทย
    "เราต่างเห็นตรงกันว่าเกิดวิกฤติแน่ ไม่ใช่เพราะทักษิณไม่หยุด นักการเมืองที่ลอยหน้าลอยตาก็ไม่หยุดที่จะ "เขมือบแผ่นดิน" กันต่อไป ตัวตัดสินคือคนรุ่นใหม่ ที่ห่างเหินการเลือกตั้งไปร่วมสิบปี คนรุ่นนี้จะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร ยังเป็นที่สงสัย และมีตัวเลือกให้เขามากพอหรือไม่ ที่จะใช้ตัดสินใจเพื่อหาทางออกให้ประเทศไปจากคนรุ่นเก่า"
         นายพิภพระบุด้วยว่า สังคมทำสงครามกับทุนทักษิณ แต่ทุนอื่นใน 10 ทุนยักษ์ของหัวขบวนในตลาดหุ้นนั้น เลวหรือดีกว่าทุนทักษิณ หรือเลวพอกัน และกลุ่มทุนนั้นเติบโตกว่า 10% ขณะที่ GDP ขยับไปไม่ถึง 4% (ในยุคทหารครองเมือง) ทุนเหล่านี้กลับแอบซ่อนอยู่นอกสนามรบปล่อยให้ “ทุนทักษิณ” เผชิญหน้าในสนามรบ อยู่ฝ่ายเดียว หาไม่สังคมการเมืองก็จะอยู่กันแบบนี้ คนจนมากขึ้น คนรวยกระจุกตัว ครอบครองทรัพย์สินเกิน 70% ของทรัพย์สินในประเทศ แล้ววิกฤติการเมือง วิกฤติสังคม ประเทศนี้จะหมดไปได้อย่างไร?
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"