ระหว่างความ "ตื่นตัว" กับความ "แตกตื่น"


เพิ่มเพื่อน    

                                                (1)

        ขณะที่เขียนต้นฉบับชิ้นนี้...ยังไม่มีโอกาสได้รับรู้ชัดๆ ว่าพายุ ปาบึก หรือ ปลาบึก นั้น ท่านจะสร้างความหนักหน่วง รุนแรง ล้างผลาญใครต่อใครไปได้ถึงขั้นไหน แต่ก็ยังพออุ่นใจอยู่บ้างนิดๆ ที่รู้สึกว่าการเตรียมเนื้อ เตรียมตัว เพื่อรับมือกับพายุลูกนี้ ไม่ว่าในแง่ภาครัฐ ภาคเอกชน ไปจนถึงระดับชาวบ้าน-ชาวช่อง ออกจะเป็นไปในแบบตระหนัก รับรู้ ตื่นตัว อยู่พอสมควร บางครั้ง บางครา อาจไปถึงขั้นแตกตื่น เอาเลยก็ยังมี...

                                                       (2)

        เนื่องด้วยความตระหนัก รับรู้ ว่าอะไรมันกำลังจะเกิดนี่แหละ...อย่างน้อย ก็อาจพอช่วยลดๆ ความหนักหนา สาหัส ความเสียหาย ให้ทุเลา เบาบาง ลงไปได้บ้าง เพราะไอ้ที่เสียหายกันหนักๆ บาดเจ็บ ล้มตาย จนกลายเป็น โศกนาฏกรรม ในแต่ละแห่งแต่ละที่ ส่วนใหญ่...มักอุบัติขึ้นมาขณะใครต่อใครแทบไม่ได้มีโอกาสรับรู้ หรือไม่ได้คิดเตรียมเนื้อ เตรียมตัวรับมือเอาไว้เลยแม้ว่าด้วย องค์ความรู้ ของมวลมนุษย์ในระยะหลังๆ จะก้าวหน้า ก้าวไกล กันไปมิใช่น้อย สามารถประดิษฐ์ คิดค้น เครื่องไม้ เครื่องมือ นานาชนิด เอาไว้เตรียมรับมือ หรือช่วยให้เกิดการเตรียมเนื้อ เตรียมตัว ในการเผชิญภัยพิบัติแต่ละชนิด ได้ล่วงหน้าพอสมควร แต่ก็นั่นแหละ...บทที่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ว่าเครื่องมือชนิดไหนต่อชนิดไหน ต่างก็ เอาไม่อยู่ ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

                                                      (3)

        อย่างภัยพิบัติในเรื่อง แผ่นดินไหว เป็นต้น...กระทั่งทุกวันนี้ ไม่ว่าผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์รายไหนต่อรายไหน ก็ยังไม่อาจประดิษฐ์ คิดค้น เครื่องไม้ เครื่องมือ ที่จะช่วยให้เกิดการรับรู้ การคาดคะเนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้...เมื่อ พระแม่ธรณี ท่านเกิดอาการสะดุ้ง บิดเนื้อ บิดตัว ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เป็นอันต้องกลายเป็น โศกนาฏกรรม ขึ้นมาแบบฉับพลันทันที แต่ด้วยความรู้ ความก้าวหน้า ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติในแต่ละด้าน เขาได้ทุ่มเท เพียรพยายามศึกษา ค้นคว้า มาโดยตลอด ก็พอช่วยให้เกิดความเข้าถึง-เข้าใจ ต่อความสลับซับซ้อนของ ธรรมชาติ ได้อย่างชัดเจน ลึกซึ้ง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

                                                        (4)

        อย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ อย่าง ดร.เจมส์ อี.เลิฟล็อก (Dr.James Epharim Lovelock) ที่ได้รับการยกย่อง สรรเสริญ ได้รับรางวัลระดับโลกในด้านวิทยาศาสตร์มาไม่รู้กี่ต่อกี่รางวัล ท่านได้นำเอาความรู้ นำเอาสิ่งที่ค้นคว้า ศึกษา มาตราบนานเท่านาน มาสรุปเอาไว้เป็นสมมุติฐาน หรือเป็น ทฤษฎี ที่เรียกๆ กันว่า ทฤษฎีกายา (Gaia) อะไรประมาณนั้น อันทำให้ความหมายของอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็น โลก ใบนี้ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแบบคนละเรื่อง คนละม้วน กับความรู้ ความเข้าใจเท่าที่เคยมีมาในยุคก่อนๆ คือกลายเป็นว่าโลกใบนี้ น่าจะไม่ใช่เป็นเพียงแค่วัตถุ สิ่งของ กรวด หิน ดิน ทราย ฯลฯ อะไรอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็น สิ่งที่มีชีวิต ในอีกรูปแบบหนึ่ง เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                                     (5)

        คือเป็นอะไรที่มีจิตวิญญาณ มีอารมณ์ ความรู้สึก ชนิดแทบไม่ต่างอะไรไปจาก เทพเจ้ากายา (Gaia) ในตำนานปรัมปราของชาวกรีก ที่ไปสมสู่กับ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า (Uranus) จนออกลูก ออกหลาน มาเป็นเทพเจ้าองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งไฟ (Apollo) แห่งลม (Aeolus) แห่งท้องน้ำ (Poseidon) แห่งความรู้ (Hermes) ไปจนแห่งภูเขาโอลิมปัส (Zeus) ฯลฯ โน่นเลย หรือกลายเป็นการ ย้อนกลับ ไปสู่ องค์ความรู้ แบบเดิมๆ ที่มวลมนุษย์ทั้งหลายเคยมีมุมมองต่อ ธรรมชาติ ในแต่ละอย่าง แต่ละชนิด ด้วยความอ่อนน้อม ความเคารพ ไม่ต่างอะไรไปจาก เทพเจ้า ในแต่ละองค์นั่นเอง...

                                                    (6)

        เอาเป็นว่า...ไม่ว่าการศึกษา ค้นคว้า จากข้อมูล ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ จะถูกหรือผิด จะน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ในสายตาของใครต่อใครก็ตาม แต่ความพยายามโน้มนำให้ใครต่อใครหวนกลับมาสู่การปฏิสัมพันธ์กับ ธรรมชาติ ในแต่ละชนิด ด้วยความอ่อนน้อม ถ่อมตน ด้วยความเคารพ แทนที่จะหยาบหยาม ย่ำยี ทั้งเหยียบ ทั้งกระทืบ ทั้งขุด ทั้งเจาะ ฯลฯ กระทำการใดๆ ต่อธรรมชาติไม่ต่างอะไรไปจากวัตถุ สิ่งของ ที่ไม่ได้มีชีวิต จิตใจ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นความตระหนัก รับรู้ ในระดับ เข้าถึง-เข้าใจ หรือเป็น องค์ความรู้ ที่ก้าวหน้า ก้าวไกลแบบสุดๆ ยิ่งกว่าประดิษฐ์ คิดค้น เครื่องมือใดๆ ที่จะเอาไว้รับมือกับภัยพิบัติในแต่ละชนิด...

                                                     (7)

        เพราะด้วย องค์ความรู้ ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่จะช่วยให้วิถีชีวิตระหว่าง มนุษย์ กับ ธรรมชาติ นั้น เป็นไปแบบสอดคล้อง ต้องกัน เกิดความกลมกลืน ปรองดอง สมานฉันท์ กันไปโดยตลอด ไม่ต้องหวาดผวา อกสั่น ขวัญแขวน กับภัยพิบัติต่างๆ ที่ไม่ว่าจะเครื่องมือชนิดไหนต่อชนิดไหน ก็ล้วนแล้วแต่ เอาไม่อยู่ ไปด้วยกันทั้งนั้น หรือด้วยการ ตื่นตัว เช่นนี้นี่เอง ที่จะช่วยให้ไม่ต้องไปเสียเวลา แตกตื่น หรือหูแหก ตาแหก มากมายจนเกินไป...

                           --------------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"