บิ๊กตู่ปลุกขจัดคนไม่ดี เตือนตั้งรัฐบาลอย่ามุ่งแค่ต่อสู้/หึ่ง!12พรรคเล็กปั่นราคาซบพปชร.


เพิ่มเพื่อน    

  นายกฯ ขอให้ ขรก.ทำงานต่อเนื่องช่วงเปลี่ยนผ่าน วอน ปชช.อย่ามองการจัดตั้งรัฐบาลเป็นการต่อสู้ทางการเมือง แต่เป็นการทำความดีเพื่อขจัดคนไม่ดีที่ทำบ้านเมืองเสียหายออกไป พปชร.ย้ำความชอบธรรมพรรคที่รวบรวมเสียงข้างมากฟอร์มรัฐบาล หึ่ง! 12 ?พรรคเล็กผนึกกำลังปั่นราคาก่อนซบ พปชร. "ภูมิธรรม" ท้ารวมกันได้เกินครึ่งก็แถลงมา กกต.แจง 4 ข้อสงสัยเหตุบัตรงอก 4.5 ล้านใบมาจากเลือกตั้งล่วงหน้า-นอก ปท. "บัตรเขย่ง" 9 ใบบันทึกข้อมูลมั่ว ยันไม่ตกแต่งตัวเลข เคาะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 26 พรรค "เพื่อแม้ว" ซัดสกปรกซ้ำรอยปี 2500 ขู่ กกต.อาจติกคุกซ้ำรอยอดีต  

     ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 29 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว(นบข.) โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว 
    โดยนายกฯ กล่าวก่อนการประชุมว่า ต้องขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันทำงานมาตลอดก่อนการเลือกตั้ง และหลังจากเลือกตั้งแล้วก็ต้องทำงานเหมือนเดิม ขอให้รักษาการทำงานอย่างเนื่องในทุกมิติ โดยช่วยกันปรับแก้มาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน 
    ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ได้ส่งสารถึงประชาชน ระบุว่า การทำงานของรัฐบาลและ คสช., เหล่าทัพ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะสร้างความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง สร้างความรักความศรัทธาต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ เพื่อประเทศชาติและประชาชนอันเป็นที่รักของคนไทยทุกคน ข่าวสารการรวมจัดตั้งรัฐบาลของพรรคต่างๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นกังวลอยู่เวลานี้ ไม่อยากให้มองว่าเป็นการมุ่งเน้นการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเดียว 
    "หากแต่เป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อทำความดีให้กับชาติบ้านเมืองและประชาชน และขจัดคนไม่ดีหรือคนที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายออกไป สื่อต่างๆ ขอให้นำเสนอข่าวอย่างพอเหมาะพอควร ช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับบ้านเมืองเรา ขอให้ประชาชนทุกคนได้ใช้ความระมัดระวังในการรับรู้ข่าวสารใดๆ ทั้งจากสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ โซเชียลมีเดีย ขอให้พิจารณาอย่างมีเหตุมีผล ประกอบข้อเท็จจริงทั้งในปัจจุบันและในอดีต ขออย่าได้หลงเชื่อคำบิดเบือน ต่างๆ อันจะทำให้ประเทศกลับไปสู่อันตรายเดิมๆ ที่เราได้เคยร่วมกันฝ่าฟันมาแล้ว"
    สารนายกฯ ระบุด้วยว่า การเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่ให้ความสำคัญแต่เพียงเสียงมากเสียงน้อย ใครเป็นฝ่ายค้าน ใครเป็นรัฐบาล แต่ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่พี่น้องประชาชนจะได้รับ อันได้แก่ ได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ประชาชนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเลือกใครได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงหรือไม่ ประเทศชาติได้รับการสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถหรือไม่ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากคนหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน รวมถึงทุกพรรคการเมือง นักการเมืองทุกคน เราต้องยอมรับว่าวิธีการเดิมๆ 
    "ตั้งแต่ก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอะไรได้เลย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิธีการใหม่ๆ ที่ทันต่อเทคโนโลยี มีการบูรณาการอย่างแท้จริง โดยเราจะต้องสร้างสนับสนุน รณรงค์ สร้างการเรียนรู้ ช่วยกันปรับปรุงพัฒนาทุกเรื่องให้ครบวงจร สร้างความเข้มแข็งให้เกิดความยั่งยืน มิใช่แก้ไขปัญหาที่ปลายทางอย่างเดียว ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลควรต้องสานต่อ ขยายหรือปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป โดยสรุปแล้วความสงบสุขของบ้านเมือง ความรักความสามัคคีของพี่น้องประชาชนคนไทย เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาประเทศก้าวต่อไปอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีเสถียรภาพ" สารนายกฯ ระบุ
พปชร.ย้ำความชอบธรรม
    พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ท่านนายกฯ แข็งแรงดี เมื่อสักครู่ตนร่วมรับประทานอาหารกับท่าน ก็เป็นปกติดีทุกอย่าง เมื่อวานตนก็ถามท่านก็บอกไม่เป็นอะไร แต่แพทย์แค่เป็นห่วงอยากให้พักหน่อย ก็ให้น้ำเกลือไปแค่ครึ่งขวด วันนี้ก็ปกติดี ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านโมโห นั่งคุยกันตามปกติ
    เมื่อถามว่า ท่านนายกฯ ยังมีความกังวลกับสถานการณ์บ้านเมืองหรือไม่ เนื่องจากวันนี้นายกฯ ได้ส่งสารถึงประชาชน พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า ท่านไม่มีความกังวลใจในเรื่องนี้ และไม่ได้พูดอะไร ส่วนเรื่องการเลือกตั้งต่างประเทศก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ ท่านไม่พูดอะไรในเรื่องการเมือง นั่งทานข้าวกับท่านมีเพียงเรื่องผลการประชุมข้าว ภัยแล้ง และจะทำอย่างไรให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดี ส่วนความเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองนั้น ตนว่าลึกๆ ทุกคนก็อยากเห็นบ้านเมืองสงบ บ้านเมืองเดินหน้า ก็คงไม่ต่างกัน
    ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำ พปชร.นัดประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายของพรรค โดยมีนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน มีแกนนำและคณะกรรมการยุทธศาสตร์เข้าร่วม จากนั้นนายอุตตมอ่านแถลงการณ์ของพรรคว่า พรรค พปชร.ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ให้ความไว้วางใจเลือกผู้สมัครและพรรคจนได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 8,433,137 คะแนน โดยมีผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งครบทุกภูมิภาคของประเทศ ดังนั้น 1.พปชร.ขอยึดมั่นและจะทำหน้าที่ภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องรักษาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    2.เรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนในทุกคะแนนเสียงที่ได้เลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดก็ตาม ย่อมถือว่าเป็นสิทธิของประชาชน ผู้ใดก็ตามไม่ควรที่จะนำไปไกลอ้างว่าประชาชนที่สนับสนุนฝ่ายตนเองเป็นฝ่ายที่ชอบธรรมแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะจะนำไปสู่การแบ่งแยกพี่น้องประชาชน อันอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมเหมือนเดิม และ 3.พปชร.มีจุดยืนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลว่าทุกพรรคการเมืองสามารถรวบรวมเสียงในการจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ในระหว่างที่ กกต.ยังไม่สามารถประกาศและรับรองผลการเลือกตั้งอย่างทางการ การรวบรวมเสียง ส.ส.เพื่อสนับสนุนการของรัฐบาล ย่อมยังจะไม่มีผลทางการเมืองที่จะประกาศชัดเจนว่าขั้วการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเสียงสนับสนุนครบถ้วนถูกต้องแล้ว
    นายอุตตมกล่าวถึงความมั่นใจในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลว่า ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้แถลงผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ การพูดเรื่องจัดตั้งรัฐบาล ถือว่ายังไม่สิ้นสุด แต่การเจรจาเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ดังนั้นเราจะยังไม่แถลงสิ่งใดๆ ก่อนเวลาที่จะรับทราบผลอย่างเป็นทางการจาก กกต. ส่วนจะได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกับพรรคการเมือง อื่นๆ แต่ขอยังไม่พูดว่าจะฟอร์มรัฐบาลได้ หรือรัฐบาลเป็นของเรา และยังไม่มีการต่อรองตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้นรวมถึงไม่มีการกว้านซื้อตัว ส.ส.ตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน 
    ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค กล่าวว่า ขอให้ทุกฝ่ายเคารพทุกเสียงของประชาชน และไม่ควรถูกนำไปกล่าวอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรม ซึ่งพรรคมีความกังวลเรื่องการแบ่งฝ่ายนำไปสู่ความขัดแย้งซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ที่น่าเป็นห่วงคือการใช้คำพูดปักหมุดแล้วขยายผล แล้วสังคมก็จะหลงตามคำพูดนั้นๆ อย่างเช่นกรณีที่ระบุว่ามีการซื้อตัวต่างๆ จะซื้อได้อย่างไร เมื่อคะแนนยังไม่นิ่ง แล้วมาโยนให้ทางพรรคเป็นผู้ทำงูเห่า ขอถามกลับว่ามาทำงูเห่าทาง พปชร.บ้างหรือเปล่า มาซื้อตัวคนของพรรคตนบ้างหรือไม่ 
12 พรรคเล็กปั่นราคา
    "การฟอร์มรัฐบาลครั้งนี้แตกต่างจากอดีต เพราะมีเงื่อนเวลาของงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งสำคัญที่สุดของพี่น้องชาวไทย ดังนั้นการประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจึงมีขึ้นหลังพระราชพิธีฯ บัดนี้การเลือกตั้งเสร็จแล้ว อาจจะเห็นโฉมหน้ารัฐบาลได้บ้าง แต่ยังไม่สามารถเห็นบทสรุป จึงต้องรอให้ กกต.ประกาศผลอย่างเป็นทางการ" นายสนธิรัตน์กล่าว 
    นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พปชร. กล่าวว่า ถ้าดูในเวลานี้แล้ว อย่างไรก็ไม่มีคะแนนเกินกึ่งหนึ่ง แต่ส่วนของ พปชร.ต้องหารือกับพรรคที่คิดว่าจะร่วมกับเราได้ ยืนยันว่าเสียงฝ่ายนั้นไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ในขณะที่ของเรายังพยายามรวบรวมอยู่เพื่อให้ถึง 
    มีรายงานข่าวความคืบหน้าการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลของ พปชร.? แจ้งว่า นายอุตตมและนายสนธิรัตน์?ยังคงเป็นแกนหลักในการรวบรวมเสียงในภาพรวม? ขณะที่ในทางลับ ทางแกนนำพรรคได้มอบหมายให้? ร.อ.ธรรมนัส? พรหมเผ่า? ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้ง?ภาคเหนือ? เดินสายทาบทามพรรคเล็ก? โดยเฉพาะพรรคเล็กที่ได้? ส.ส. 1-2? ที่นั่ง? โดยล่าสุดมีรายงานว่ามีการจับกลุ่มกันของ? 12? พรรคการเมือง? ที่รวมกันแล้วมี?จำนวน? ส.ส. 13? ที่นั่ง? เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองโควตารัฐมนตรี? ได้แก่? พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ?พรรคพลังชาติไทย? พรรคประชาภิวัฒน์? พรรคไทยศรีวิไลย์? พรรคพลังธรรมใหม่? พรรคไทรักธรรม? พรรคประชาธิปไตยใหม่? พรรคประชานิยม? พรรคพลังไทยรักไทย? พรรคครูไทยเพื่อประชาชน? พรรคพลเมืองไทย? พรรคประชาธรรมไทย? ส่วนพรรคประชาชนปฏิรูป?ที่ได้ ส.ส.? 1? ที่นั่ง? ยืนยันจะร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐแน่นอน?  
    ขณะที่ทางฝั่งนายสุเทพ? เทือกสุบรรณ? ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย? ที่ได้ ส.ส. 5? ที่นั่ง? ได้หันไปจับมือกับพรรคชาติพัฒนา? ที่ได้? ส.ส. 3 ?ที่นั่ง? และพรรคพลังท้องถิ่นไทที่ได้? 3? ที่นั่ง รวมกันเป็น? 11? ที่นั่ง? เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง?โควตารัฐมนตรีเช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันที่? 28? มี.ค.?ที่ผ่านมา? ได้มีการนัดหารือกันระหว่างนายสุเทพ? และนายสุวัจน์? ลิปตพัลลภ? ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา? ที่แปซิฟิกคลับ? สุขุมวิท? และเวลา? 15.00 น.? วันที่? 1 ?เม.ย.? พรรคชาติพัฒนาจะมีการประชุมพรรคเพื่อหารือเรื่องนี้? โดยทั้ง? 3? พรรคดังกล่าวต้องการโควตา รัฐมนตรีว่าการ? 1? ตำแหน่ง? และรัฐมนตรีช่วยว่าการ? 1? ตำแหน่ง
     ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสนธิรัตน์เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยหยุดพูดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยและผลักอีกฝ่ายเป็นเผด็จการว่า ไม่มีอะไรที่เป็นการสร้างความขัดแย้ง เราเพียงยึดมั่นของเราว่าเรายืนอยู่ข้างฝ่ายประชาธิปไตย จะถูกจะผิด ประชาชนจะได้ตัดสินใจ เชื่อว่าประชาชนจะไม่สับสน อย่าเป็นกังวลแทนพี่น้องประชาชน ส่วนการจับมือร่วมรัฐบาล 7 พรรคการเมืองยืนยันในอุดมการณ์ของเรา คือต้องการให้ประชาธิปไตย และความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นจริง เราจะไม่สนับสนุนการดำเนินการใดๆ ก็ตามที่นำไปสู่การสืบทอดอำนาจ
พท.ท้าขั้ว พปชร.แถลง
    “เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล เรายังไม่ได้คิดอะไรไปไกลเกินกว่านี้ ที่เราบอกว่าตัวเลขเราคือ 255 คือเราพูด ณ ขณะนั้น ที่ตัวเลขเป็นแบบนั้น ดังนั้นวันนี้จะพูดว่าเป็นอย่างไร ก็ต้องรอตัวเลขที่ชัดเจนถึงจะพูดได้ ส่วนพรรคอื่นหากคิดว่าตัวเองมีความสามารถที่จะยืนยันตัวเลขของตัวเองได้ก็นั่งแถลงมา เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่เราจับมือกัน 7 พรรค ยังยืนยันว่ามั่นคงแข็งแรง” นายภูมิธรรมกล่าว
    นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวถึงกรณี อนค.ถูกจับจ้องว่าจะมีงูเห่าว่า ยอมรับว่า ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่โดนทาบทามจริง ด้วยการให้ผลประโยชน์ต่างๆ แต่เชื่อว่า ส.ส.ของพรรคเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันด้วยความเชื่อและความฝันเดียวกัน ไม่ใช่กลุ่มคนที่รวมตัวกัน เพราะอยากจะมีตำแหน่งทางการเมือง หรือผลประโยชน์ทางการเงิน จึงเชื่อมั่นว่าว่าที่ ส.ส.ของพรรคทุกคนจะยืนหยัดในหลักการที่เราร่วมก่อร่างสร้างพรรคนี้มาด้วยกัน และมั่นใจว่า ส.ส.อนค.จะไม่มีใครย้ายข้างแปรขั้ว
    ส่วนกรณีนายสนธิรัตน์อยากให้หยุดวาทกรรมฝั่งเผด็จการและฝั่งประชาธิปไตย นายธนาธรกล่าวว่า พรรคที่นำเสนอแคนดิเดตนายกฯ ที่มาจากผู้ยึดอำนาจจากประชาชน พรรคที่ตั้งขึ้นมาโดยมีชื่อสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ยึดอำนาจมาจากประชาชนไม่ให้เรียกว่าสืบทอดอำนาจ ไม่ให้เรียกว่าพรรคที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย ก็ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไรเช่นกัน 
     สำหรับความเคลื่อนไหวที่พรรคภูมิใจไทย ตลอดทั้งวันเป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยในวันนี้ไม่มีแกนนำหรือบุคคลสำคัญเดินทางเข้ามาที่ทำการพรรค ซึ่งทุกคนยังคงสงวนท่าทีและงดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับจุดยืนของพรรค โดยย้ำว่าต้องรอฟังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคเพียงสองคนเท่านั้น สำหรับนายอนุทิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเดินทางไปงานศึกษาดูงานที่ต่างประเทศกับหลักสูตรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีกำหนดเดินทางเข้าที่ทำการพรรคในวันที่ 1 เม.ย. 
     นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวภายหลังการประกาศคะแนนเสียงอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งพลังธรรมใหม่อาจจะได้ 1 ที่นั่งจะเลือกอยู่กับฝ่ายใดว่า การเมืองมีเพียง 2 ขั้ว และก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายไหนสามารถรวบรวมคะแนนเสียงข้างมากได้ ซึ่งพรรคพลังธรรมใหม่ก็พร้อมที่จะเป็นฝ่านค้านที่มีคุณภาพหากเราสามารถทำให้ประเทศชาติได้รับผลประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าสุดท้ายแล้วการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและประเทศสามารถเดินหน้าได้ เราก็ต้องเลือกทางนั้น
       ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายกฤช เอื้อวงศ์ รองเลขาธิการ กกต. แถลงชี้แจงใน 4 ประเด็นที่มีข้อสงสัยในสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ดังนี้ 1.กรณีมีผู้สงสัยตัวเลขผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ประธาน กกต. แถลงในวันที่ 24 มี.ค. จำนวน 51,205,624 คน กับตัวเลขที่ตนแถลงเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 51,239,638 คน มีการเพิ่มขึ้น 34,014 คนอย่างผิดปกตินั้น ที่ประธาน กกต.ได้แถลงนั้นเป็นตัวเลขซึ่งเป็นการคีย์ข้อมูลเข้ามาของกรรมการประจำหน่วยผ่านระบบแรพพิดรีพอร์ต เป็นข้อมูลยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่ตนแถลงเมื่อวานเป็นข้อมูลจากเอกสารการรายงานผลอย่างเป็นทางการ 100 เปอร์เซ็นต์ที่ 350 เขตส่งเข้ามา
"บัตรเขย่ง" บันทึกมั่ว
    2.กรณีเหตุใดจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ กกต.แถลงเมื่อวันที่ 28 มี.ค. จึงเพิ่มขึ้นถึง 4.5 ล้านฉบับ เมื่อเทียบกับจำนวนร้อยละ 93 ที่ประธาน กกต.แถลงเมื่อวันที่ 24 มี.ค.นั้น ที่ประธาน กกต.แถลงนั้นเป็นข้อมูลตามที่ระบบรายงานผลได้รายงานอยู่ที่ร้อยละ 93 แต่ที่ กกต.แถลงเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งมีการรวมผลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ราว 2.3 ล้าน รวมถึงเลือกตั้งนอกราชที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ราว 1 แสนคน เมื่อตัวเลขทบเข้าไปทำให้เกิดจำนวนที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล เพราะกระบวนการทั้งหมดมีการตรวจสอบตั้งแต่หน่วยเลือกตั้ง มีการประกาศผลที่หน่วยเลือกตั้งจำนวนบัตรที่ใช้บัตรที่เหลือ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้ และเชื่อว่าผู้สมัครทุกคนได้บันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้ทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครไปเพิ่มผลคะแนนตัวเลขได้
    3.กรณีทำไมผู้มาใช้สิทธิ์จำนวน 38,268,375 คน กับบัตรเลือกตั้งที่ใช้ 38,268,366 ใบ จึงต่างกันอยู่ 9 ใบ ตรงนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า กกต.ไม่ได้มีการตกแต่งตัวเลข ตัวเลขมาจากจังหวัดอย่างไร เราก็รายงานอย่างนั้น ส่วนจำนวนบัตรเลือกตั้งที่น้อยกว่าจำนวนผู้มีสิทธิ์ 9 ใบนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่เท่าที่มีพูดคุยกันในคณะทำงาน คาดว่าการบันทึกข้อมูลผู้มาใช้สิทธิ์ลงในแบบ ส.ส. 1/3 อาจคลาดเคลื่อน หรืออาจมีการนับคลาดเคลื่อน เพราะต่างกันแค่ 9 ใบ แต่ยืนยันว่าไม่กระทบต่อคะแนนของผู้สมัครแต่อย่างใด ซึ่ง กกต.จะได้ตรวจสอบว่าเกิดความผิดพลาดขึ้นที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขต่อไป
    4.เรื่องจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้มากกว่าจำนวนรวมของบัตรดี บัตรเสีย และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน โดยต่างกันอยู่ 2 ใบ จากการพูดคุยในคณะทำงาน อาจมีการนับบัตรที่ใช้ไปจากต้นขั้วบัตรคลาดเคลื่อนไป แต่ก็จะตรวจสอบก่อนว่าเกิดขึ้นในหน่วยเลือกตั้งใด และจะรายงานให้ กกต. พิจารณาดำเนินการต่อไป กกต.ถูกตั้งคำถามมาก จึงอยากออกมาชี้แจง เพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย
    ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีผู้สมัคร ส.ส. มาร้องเรื่องการวินิจฉัยบัตรของกรรมการประจำหน่วย ซึ่งขอให้มีการนับคะแนนใหม่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ชี้แจงว่าการร้องให้นับคะแนนใหม่เป็นรายหน่วยสามารถยื่นร้องได้ ซึ่งขณะนี้มีการร้องคัดค้านการเลือกตั้งจำนวน 186 คดี และ 7 เรื่องเป็นการคัดค้านการนับคะแนน แต่ถ้าจะให้นับใหม่ทั้งประเทศนั้น กฎหมายไม่เปิดช่องให้ทำได้ อย่างไรก็ตาม ในการร้องให้มีการนับคะแนนใหม่ หากไม่ร้องในระหว่างที่มีการนับคะแนนก็สามารถร้องภายหลังการเลือกตั้งได้
    ส่วนเรื่องการประกาศผลร้อยละ 95 ในวันที่ 9 พ.ค. เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า กฎหมายกำหนดว่าหลังกฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ให้จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน ซึ่งจะครบในวันที่ 9 พ.ค. ถ้าหากเห็นว่าสุจริต ก็ให้ประกาศผล ซึ่งคาดว่าสำนักงานจะเสนอให้ กกต.พิจารณาภายในวันที่ 9 พ.ค.เบื้องต้นได้เร่งรัด กลุ่มภารกิจสืบสวนสอบสวนในกรณีเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง และกฎหมายใหม่ไม่เปิดโอกาสให้ทยอยประกาศผล อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะให้ใบแดงก่อนวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งอาจทำให้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่สื่อมวลชนคำนวณอาจปรับเปลี่ยนได้ หากมีการเลือกตั้งใหม่  
    ส่วนการสั่งไม่นับคะแนนบัตรเลือกตั้ง 1,542 ใบจากนิวซีแลนด์ นายกฤชชี้แจงว่า เมื่อดูกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 114 กฎหมายได้เขียนบังคับให้ กกต.ต้องวินิจฉัยอย่างนั้น ทั้งที่ กกต.เข้าใจเรื่องสิทธิของประชาชนและไม่อยากทำอย่างนั้น รวมทั้งได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว และได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบภายใน 7 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 3 เม.ย. จะทราบว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ยืนยันว่า กกต.ได้พิจารณาประเด็นดังกล่าวอย่างรอบคอบ
บัญชีรายชื่อทะลุ 26 พรรค
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการคิดคำนวณจำนวนปาร์ตี้ลิสต์จำนวน 150 เสียง ล่าสุดมีพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.ทั้งหมด 26 พรรค ดังนี้ 1.พลังประชารัฐ  19 เสียง, 2.อนาคตใหม่ 50, 3.ประชาธิปัตย์ 19, 4.ภูมิใจไทย 12, 5.เสรีรวมไทย 10, 6.ชาติไทยพัฒนา 4 , 7.เศรษฐกิจใหม่ 6, 8.ประชาชาติ 1, 9.เพื่อชาติ 5 , 10.รวมพลังประชาชาติไทย 4 , 11.ชาติพัฒนา 2, 12.พลังท้องถิ่นไท 3, 13.รักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 ,14.พลังปวงชนไทย 1, 15.พลังชาติไทย 1, 16.ประชาภิวัฒน์ 1, 17.พลังไทยรักไทย 1, 18.ไทยศรีวิไลย์ 1, 19.ประชานิยม 1, 20.ครูไทยเพื่อประชาชน 1, 21.ประชาธรรมไทย 1, 22.ประชาชนปฏิรูป 1, 23.พลเมืองไทย 1 , 24.ประชาธิปไตยใหม่ 1, 25.พลังธรรมใหม่ 1, 26. ไทรักธรรม 1 
    ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กกต.แถลงผลคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งผลคะแนนเพิ่มขึ้นกว่า 4 ล้านคะแนนว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องชี้แจงไป เท่าที่ฟัง กกต.ชี้แจงตนก็เข้าใจ เพราะได้มีการพูดถึงตอนที่ประธาน กกต.แถลงในครั้งแรกว่า การนับคะแนนไม่ได้รวมคะแนนจากต่างประเทศ และไม่ได้นับคะแนนล่วงหน้า เมื่อมีการถามเขาก็จำเป็นต้องตอบไปก่อน แต่เมื่อมีการนำมานับใหม่คะแนนก็งอกออกมา
    เมื่อถามถึงกรณีมีคำศัพท์ใหม่ว่า “บัตรเขย่ง” นายวิษณุกล่าวว่า คำนี้เป็นศัพท์ที่ใช้มานานแล้วหมายความถึงตัวที่ไม่ตรงกันจึงเรียกว่ามันเขย่งกัน เป็นศัพท์ที่กระทรวงมหาดไทยเขาใช้อยู่ พอมาใช้กับการเลือกตั้งก็อาจจะงง แต่ก็มีเพียงแค่ 9 ใบเท่านั้น ซึ่งที่ กกต.ก็ชี้แจงมา 9 ใบที่เป็นปัญหาคือ เข้าไปในคูหาแล้วไม่ได้ลงคะแนนเลือกตั้ง อาจจะเห็นคิวยาวแล้วกลับบ้านเลย แต่ 9 ใบก็ไม่ได้เป็นปัญหา แต่ถ้ามากกว่านั้นผิดปกติแน่ 
    นายอุดม รัฐอมฤต อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการคำนวณคะแนน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อว่า หลัง กกต.ประกาศคะแนนอย่างไม่เป็นทางการนำคะแนนบัตรดีของการเลือกตั้งครั้งนี้  35,532,645 ใบหารกับ 500 ซึ่งคือจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ทำให้ได้ค่าเฉลี่ยของเสียงต่อ ส.ส. 1 ที่นั่งหรือ 71,065.294 คะแนน จากนั้นนำมาหารคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับจะได้ที่นั่ง ส.ส. ที่พึงได้รับ ซึ่งผลออกมาทำให้บางพรรคคือพรรคเพื่อไทยที่ได้จำนวน ส.ส.เขตไปแล้วมากกว่าจำนวน ส.ส.ที่พึงได้รับ จึงไม่ได้รับจัดสรรให้มี ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่ม
     "สูตรการคำนวณที่นั่ง ส.ส.ไม่ซับซ้อนถึงขั้นเข้าใจไม่ได้ แต่อาจเกิดข้อสับสนตรงสัดส่วนเก้าอี้เกินกว่าที่ควรจะเป็นหรือที่เรียกว่า  "โอเวอร์แฮงก์" ตัวเลขที่ออกมายังไม่นิ่ง แต่พรรคการเมืองเอาผลคะแนนมาแข่งทะเลาะเบาะแว้งชิงความได้เปรียบของ 2 ขั้วในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เกิดปัญหา ดังนั้นทุกฝ่ายควรรอให้ตัวเลขนิ่งหรือเป็นทางการเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขในภายหลัง เพราะวิธีคิดหรือสูตรที่วางไว้ไม่ซับซ้อน หลักการในการร่างกฎหมายนี้คืออยากให้ทุกเสียงมีความหมาย ทุกเสียงเท่าเทียมกัน" นายอุดม กล่าว
     นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี กกต.แถลงผลการเลือกตั้งว่า ตัวเลขที่ได้รับฟังมาก็ยังมีข้อสงสัย ทั้งยังได้ยินศัพท์ใหม่ๆ เช่น บัตรเขย่ง ที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เป็นนักการเมือง เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องทำความเข้าใจว่าบัตรเขย่งอย่างไร เขย่งจากที่ไหนมาที่ไหน ตอนนี้เรามีปัญหากับตัวเลขต่างๆ เช่น ตัวเลขผู้ใช้สิทธิ ตัวเลขผู้มีสิทธิซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเรายืนยันให้ กกต.เอาตัวเลขทั้งหมดออกมาเปิดเผย เมื่อทุกฝ่ายได้ดูแล้วตัวเลขบวกกันลงตัวฟังแล้วสมเหตุสมผลทุกอย่างก็จบ  
    "ปล่อยเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เกิดความอึมครึม พรรคการเมืองต่างๆ รอทำงานอยู่ เขามีตัวเลขในมือของเขาอยู่ รอเพียงตัวเลขจาก กกต. ที่จะเอามาแบให้เห็น อย่าทำให้คนรู้สึกว่าไม่มีความโปร่งใส ไม่สบายใจ เพราะเรื่องนี้สัมพันธ์กับเครดิตของประเทศด้วย ต่างชาติก็ทำจดหมายจี้มากว่าเขาอยากเห็นความโปร่งใส"
    เมื่อถามว่า รับได้ไหมหากสุดท้ายแล้วการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ นายภูมิธรรมกล่าวว่า อยู่ที่ความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริงเลอะเทอะ ก็ต้องยอมรับผลของความเลอะเทอะ ถ้าความจริงชัดเจนก็จบ เราคิดว่าเราไม่ได้มโน เราอยู่กับพื้นฐานของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
สกปรกซ้ำรอยปี 2500
    พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากผลคะแนนที่สับสน มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำงาน แม้ผลคะแนนที่สับสน จะไม่กระทบต่อการร่วมมือทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยกับอีก 6 พรรคการเมืองที่ได้ร่วมลงสัตยาบันหยุดการสืบทอดอำนาจของ คสช. ขอเรียกร้องให้ กกต.ทำความชัดเจนให้เรียบร้อยก่อนการรับรอง ส.ส. วันที่ 9 พ.ค.นี้ เพราะความไม่ชัดเจน อาจทำไปสู่ความเคลือบแคลง พรรคจะยังไม่นำไปสู่การฟ้องร้องเอาผิด กกต. ข้อเรียกร้องเราในวันนี้ขอให้ กกต.ทำความชัดเจนเรื่องผลคะแนนเพียงเท่านั้น
    ทั้งนี้ นายภูมิธรรมได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวด้วยว่า  การออกแบบกลไกการเลือกตั้งวันนี้กำลังสร้างผลกระทบอะไรกับประเทศ เป็นการนำเอาต้นทุนความน่าเชื่อถือของประเทศและความมั่นคงของประชาชน ไปแลกกับการยึดพื้นที่เพื่อต่อท่ออำนาจ เป็นการเลือกตั้งที่จ่าย "ราคาแพง" การเลือกตั้งปี 2562 จึงเป็นความทรงจำในหน้าประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ ซ้ำรอยเฉกเช่นเดียวกับการเลือกตั้งในปี 2500 ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดครั้งหนึ่งของการเมืองไทย 
    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย และอดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “บัตรเขย่ง”? คือคนรับบัตรเลือกตั้งไปแล้วไม่ใช้ลงคะแนนอาจเป็นเพราะรอคิวนานหรือมีเหตุอื่นกะทันหันอธิบายแบบนี้ก็ได้เหรอ?   แล้วจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ที่อยู่ๆ เพิ่มขึ้น 4 ล้านกว่าคนมายังไง หรือการเลือกตั้งครั้งนี้จะมี “บัตรซบ” หมายถึงบัตรเลือกตั้งที่ถูกจัดการโดยคนที่ซบแนบแอบอิงกับผู้มีอำนาจ       
    นายรยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งในครั้งนี้อาจมีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น การจัดการเลือกตั้งก็ผิดพลาดมาก อดีตในรอบ 10 ปีที่ผ่านเราเคยมีการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะถึง 2 ครั้ง กกต.ถึงขั้นต้องติดคุกโดนคดี ครั้งนี้มองว่าเลวร้ายกว่าการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี 2500 อีกด้วยซ้ำคิดว่าชะตากรรมของ กกต.ชุดนี้ก็คงหนีไม่พ้นคุกเดินรอยตามรุ่นพี่เป็นแน่ หากไม่รีบจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
    นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค. กล่าวว่า เป็นวิกฤติศรัทธาขององค์กรอิสระครั้งใหญ่ที่สุด ไม่เคยมีองค์กรไหนถูกประชาชนล่ารายชื่อถอดถอน 8 แสนคน กกต.ควรแถลงให้เป็นทางการว่าคะแนนแต่ละหน่วยเป็นเท่าไหร่ และเชื่อว่ายังสามารถแก้ไขได้ หากหน่วยไหนที่มีประชาชนตั้งข้อสงสัย อาจจะนำมาสู่การนับคะแนนใหม่อย่างเปิดเผยได้ ถ้าหน่วยไหนมีข้อครหาว่ามีคะแนนที่ไม่ปกติ อาจจะเปิดให้มีการเลือกตั้งระดับเขตใหม่ได้ นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด 
    นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุ บัตรเขย่ง ฤาเขย่า กกต. ว่า การแถลงข่าวของ กกต.ที่นับบัตรทั้งหมดที่มีแล้วน้อยกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ 9 ราย โดยให้เหตุผลว่า อาจจะเซ็นชื่อแล้วไม่รับบัตร เหตุผลดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้ การลักลอบนำบัตรเปล่าออกนอกหน่วยเพียง 1 ใบ เป็นเทคนิคการโกงเลือกตั้งแบบคลาสสิก ที่จะเป็นหลักประกันว่าประชาชนที่รับเงินซื้อเสียงไม่มีทางที่จะ “รับเงิน(ห)มา แต่กาพรรคที่ชอบ” ได้ เพราะบัตรเปล่าที่ถูกนำออกนอกหน่วย จะถูกนำไปกาเบอร์ของผู้สมัคร และให้ประชาชนนำไปหย่อนในหีบ พร้อมรับบัตรเปล่าใหม่ออกมาใหม่ ทำวนแบบนี้ การันตีได้เป็นร้อยคะแนนว่า ร้อยทั้งร้อยไม่สามารถบิดพลิ้ว จึงเป็นเรื่องที่ กกต.ต้องสนใจตรวจสอบว่าบัตรเขย่งทั้ง 9 ใบมาจากพื้นที่ใด หากกระจุกรวมตัวที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง แปลว่าเป็นกลิ่นของขบวนการทุจริตการเลือกตั้ง  อย่าปล่อยให้เงียบ.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"