แคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง แถลงเมื่อวันอังคาร ยอมรับสภาพว่าร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น "ตายแล้ว" แต่ผู้ประท้วงไม่เชื่อน้ำคำ ชี้ร่างกฎหมายนี้ยังค้างอยู่ในสภานิติบัญญัติ พร้อมประกาศนัดชุมนุมครั้งใหม่อีก

แคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง แถลงข่าว ณ ที่ทำการรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 / AFP

    เอเอฟพีรายงานว่า ผู้บริหารสูงสุดของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะมานานหลายสัปดาห์นับแต่กลางเดือนมิถุนายน ที่เกิดการชุมนุมประท้วงของชาวฮ่องกงมากกว่า 1 ล้านคน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกร่างกฎหมายอื้อฉาวฉบับนี้ ซึ่งทำให้แลมตัดสินใจระงับการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ในสภานิติบัญญัติอย่างไม่มีกำหนด

    ในการแถลงต่อชาวฮ่องกงเมื่อวันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2562 แลมยอมรับว่า ความพยายามของรัฐบาลฮ่องกงที่จะผ่านกฎหมายฉบับนี้ "ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง" และรัฐบาลจะไม่พยายามขอให้สภาพิจารณาผ่านร่างกฎหมายนี้อีก

    "ไม่มีแผนเช่นนั้นอีก กฎหมายฉบับนี้ตายแล้ว" แลมกล่าว โดยไม่ยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงที่ต้องการให้ถอนกฎหมายนี้จากวาระการประชุม

    การประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเกิดจากความวิตกว่ากฎหมายนี้จะถูกจีนใช้เป็นเครื่องมือกำราบผู้ที่เห็นต่างกับจีน และผู้ต้องสงสัย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาวฮ่องกง จะถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในระบบตุลาการของจีนที่มีความคลุมเครือและอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์

    ชาวฮ่องกงออกมาชุมนุมกันเกินกว่า 1 ล้านคนเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด การประท้วงยังบานปลายเกิดความรุนแรงจากการปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ประท้วงหัวแข็งกร้าว ซึ่งโดนตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางตอบโต้

    โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวฝ่ายประชาธิปไตยที่เพิ่งพ้นโทษจำคุกจากการประท้วงเมื่อปี 2557 ทวีตโจมตีแลมว่า คำพูดของแลมนั้นเป็น "คำโกหกน่าขันอีกครั้ง" ร่างกฎหมายนี้ยังคงอยู่ในวาระการพิจารณาของสภานิติบัญญัติไปจนถึงเดือนกรกฎาคมปีหน้า

    คลอเดีย โม ส.ส.ฝ่ายประชาธิปไตย กล่าวเสริมว่า คนตายไม่อาจฟื้นคืน แต่สิ่งของสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้เสมอ พวกตนหมดซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจและความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลนี้แล้ว
 
    เอเอฟพีรายงานด้วยว่า กลุ่มแนวร่วมสิทธิมนุษยชนพลเมือง ซึ่งเคยเป็นแกนนำจัดการเดินขบวนครั้งใหญ่หลายครั้ง กล่าวว่าพวกเขาจะประกาศกำหนดนัดชุมนุมประท้วงครั้งใหม่ในไม่วันข้างหน้า

    ผู้บริหารหญิงรายนี้ยังปฏิเสธทำตามแรงกดดันให้แต่งตั้งผู้พิพากษาอิสระ มาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการสาธารณะเพื่อสอบสวนกรณีตำรวจใช้กำลังกับผู้ประท้วง โดยเธออ้างว่าตำรวจมีกลไกรับเรื่องราวร้องทุกข์และสอบสวนคำกล่าวหาใช้กำลังเกินกว่าเหตุอยู่แล้ว.