ศาลเตือนผอ.เขต ยังล่าช้า-โทษวินัย


เพิ่มเพื่อน    

 

โฆษกศาลปกครองแจงเหตุสั่งปรับ ผอ.เขตประเวศคดีป้าทุบรถ ถือเป็นอุทาหรณ์เจ้าหน้าที่รัฐห้ามละเลยคำสั่งศาล เตือนหากยังไม่ดำเนินการคุ้มครองอาจถูกปรับเพิ่ม ทั้งถูกลงโทษทางวินัย

    นายประวิตร บุญเทียม โฆษกศาลปกครอง ชี้แจงเมื่อวันที่ 8 มีนาคมนี้ ถึงการบังคับคดีตามคำสั่งศาลปกครอง แผนกคดีสิ่งแวดล้อม ที่มีคำสั่งเตือนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสั่งปรับผู้อำนวยการเขตประเวศ 5 พันบาท ฐานละเลยการปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่สั่งคุ้มครองคดีที่ให้ดูแลบ้านของ น.ส.บุญศรี แสงหยกตระการ กับพวก ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการจัดตั้งตลาดก่อนมีคำพิพากษา ว่า กรณีนี้ สำนักบังคับคดีปกครองของสำนักงานศาลปกครอง ได้ติดตามการปฏิบัติงานตามคำสั่งศาลตามกฎหมายการบังคับคดีใหม่ในปี 2559 ทำให้ศาลมีอำนาจในการสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ตั้งแต่การสั่งปรับได้สูงสุด 5 หมื่นบาท ไปจนถึงการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัย หรือให้พ้นจากตำแหน่งได้กรณีที่เป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 
    สำหรับกรณีที่ศาลสั่งปรับ ผอ.เขตประเวศ จึงเป็นการบังคับเอากับทรัพย์สินส่วนตัวของ ผอ.เขตประเวศคนปัจจุบัน ซึ่งแม้จะเพิ่งมารับตำแหน่ง ก็เอามาเป็นเหตุอ้างไม่รับผิดชอบไม่ได้ เพราะคดีปกครองเป็นการฟ้องโดยตำแหน่ง เมื่อมารับหน้าที่ใหม่ก็ต้องรับผิดชอบและติดตามงานคงค้างทั้งหมด หากมีส่วนใดยังไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็รีบดำเนินการ 
    "คดีนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่ดี และเป็นคดีแรกของการบังคับใช้กฎหมายการบังคับคดีใหม่ของศาลปกครองที่ศาลมีคำสั่งลงโทษถึงขึ้นปรับ และหากยังพบว่าไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลอีก ศาลอาจเรียกไต่สวนและสั่งเพิ่มค่าปรับ รวมทั้งอาจรายงานผู้บังคับบัญชาให้ลงโทษทางวินัยได้อีก" นายประวิตรกล่าว พร้อมกับชี้แจงว่า กรณีลงโทษผู้ว่าฯ กทม.กับ ผอ.เขตประเวศ ไม่เท่ากันนั้น ศาลได้ดูข้อเท็จจริงในคดีแล้วเห็นว่า แต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าบทลงโทษตามการบังคับคดีที่ศาลมีอำนาจตามกฎหมายใหม่ จะทำให้ผู้ที่มีหน้าที่เกิดความเกรงกลัวและปฏิบัติตามเมื่อศาลมีคำสั่ง รวมถึงจะเป็นผลดีต่อการบริหารราชการ แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าศาลจะให้อำนาจมุ่งแต่จะสั่งปรับ เพราะทุกอย่างต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง เพียงแต่ทำให้การบังคับคดีมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเงินค่าปรับที่ได้จะนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
    โฆษกศาลปกครองกล่าวว่า ยอมรับว่าคดีของ น.ส.บุญศรีอยู่ในกลุ่มคดีล่าช้าของศาล เพราะมีการฟ้องเมื่อปี 2553 และมีการตัดสินไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อ กทม.อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคดีนี้อาจไม่ยุติธรรมหากไม่มีเจ้าของตลาดซึ่งเป็นผู้เสียหาย จึงสั่งให้เข้ามาเป็นผู้ร้องสอด และให้ศาลปกครองชั้นต้นเริ่มกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ แต่โดยนโยบายใหม่ของประธานศาลปกครองสูงสุด จะทำให้คดีถูกสางไปในเวลารวดเร็วอย่างแน่นอน
    ส่วนปัญหาการบังคับคดีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ กทม.และ ผอ.เขตปทุมวัน ใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งรื้อถอนอาคาร ดิ เอทัส ในซอยร่วมฤดีนั้น ขณะนี้พนักงานบังคับคดีได้แจ้งต่อศาลว่า ทาง กทม.อยู่ระหว่างการทำทีโออาร์ หาผู้รับเหมามาทำการรื้อถอนอาคารดังกล่าว โดยกำหนดจะรื้อถอนให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ 20 มิ.ย.2560 ซึ่งกรณีนี้ศาลก็เคยมีคำสั่งเตือน กทม.และ ผอ.เขตปทุมวันเช่นกัน จนมีการแจ้งความคืบหน้าในช่วงปี 2559 ว่ามีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาราคารื้อถอนและวางแผน ศาลจึงยกเลิกคำสั่งปรับไป 
    "จากตัวอย่างทั้งสองคดีดังกล่าว ทำให้เห็นว่าอำนาจใหม่ของศาลปกครองในการสั่งบังคับคดีเป็นดาบเดียวที่มีอยู่ในมือ ซึ่งศาลจะพยายามใช้ให้เข้มข้นมากขึ้น ส่วนการเยียวยาผู้อาศัยอยู่ในอาคารดังกล่าว เป็นเรื่องที่ผู้พักอาศัยในอาคารต้องไปฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเจ้าของอาคาร" นายประวิตรกล่าว.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"