7 เม.ย.64- รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่าข้อเสนอใหม่ของแกนนำม็อบ 3 นิ้ว ที่ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อขอให้ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว รอบนี้ดูจะมีน้ำหนักมากหน่อย คือเสนอขอทำข้อตกลงว่า หากได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จะไม่ทำผิดซ้ำ คือจะไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์อีก

ข้อเสนอครั้งนี้นับว่ามีเหตุผลมากกว่าที่บรรดานักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แบบแผ่นเสียงตกร่อง ว่าศาลต้องอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เพราะต้องถือว่าจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จำเลยไม่มีทีท่าจะหลบหนี และต้องให้โอกาสจำเลยไปหาพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี ฯลฯ ทั้งที่ฝ่ายโจทย์เขามีหลักฐานที่เป็นคลิปส์วีดิโอ ครบถ้วนหมด แล้วจะไปหาหลักฐานอะไรมาหักล้างได้ 

ผลของการพิจารณาคดีจึงขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลว่าการกระทำของจำเลยเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ เพราะหลักฐานมีพร้อมมูลแล้ว แต่นักวิชาการกลุ่มนี้ก็ยังพยายามเรียกร้องต่อไป ในที่สุดถึงกับมีการปล่อยข่าวว่า ประธานศาลฎีกาพูดในที่ประชุมผู้พิพากษาศาลฎีกาว่า มีคนข้างนอกสั่งมาอีกที
คุณรังสิมันต์ โรม ก็รับลูกทันทีโดยจะขอให้คณะกรรมาธิการกฎหมายฯ เชิญประธานศาลฎีกามาชี้แจงเรื่องนี้ต่อกรรมาธิการ ไม่ทราบว่าเห็นประธานศาลฎีกา หนึ่งใน 3 ประมุขของอำนาจอธิปไตย เป็นเด็กอมมือหรืออย่างไร  

นักวิชาการเกือบจะกลุ่มเดียวกันที่เรียกร้องให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำข้างต้น ยังเข้าชื่อกันคัดค้านการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ของ ดร.ณัฐพล ใจจริง ที่ถูกจับได้ว่ามีข้อมูลซึ่งเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อ้างอิงมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่ปรากฏว่ามีข้อมูลนั้นจริง 

แปลกใจว่า การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เป็นอำนาจโดยชอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเจ้าของปริญญา และกรรมการก็เป็นเพียงกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อรายงานให้มหาวิทยาลัยทราบและพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ทำไมจึงรอฟังผลการสอบข้อเท็จจริงเสียก่อนไม่ได้ ต้องรีบออกมาปกป้องกันอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้ 

เพนกวิน รุ้ง ไมค์ ระยอง แอมมี่ และคนอื่นๆไม่ได้รับการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เพราะศาลกลัวจะออกมากระทำผิดซ้ำ ก็ยอมไม่ได้ 

สอบข้อเท็จจริงกรณีวิทยาพิพนธ์ของดร.ณัฐพล ใจจริงก็ยอมไม่ได้ 

คงไม่ใช่เป็นเพราะออกมาช่วยต่อสู้เพื่อเมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมในสังคมกระมัง แต่คงทำกันเป็นขบวนการ เพราะการกระทำของคนในทั้ง 2 กรณี มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน จึงต้องออกมาปกป้องกันอย่างสุดฤทธิ์ 

ใช่หรือไม่?