'นมผง'รุกหนักโน้มน้าวแม่ 4กลุ่มให้ลูกกิน'นมแม่'ลดลง

ขอบคุณภาพจาก เพจองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย 

เมื่อพ.ศ.2560 พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ได้มีผลบังคับใช้ จุดประสงค์เพื่อปกป้องสิทธิเด็กทุกคนให้มีโอกาสได้รับอาหารที่ดีที่สุด ที่สำคัญคือการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ หวังจะควบคุมการส่งเสริมการตลาดของบริษัทนม ไม่ให้อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ไม่ชักจูงให้แม่เข้าใจผิดว่านมผงดีเทียบเท่าหรือดีกว่านมแม่ โดยเฉพาะการควบคุมการส่งเสริมการตลาดที่มาในรูปการเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนการจัดอบรมทางวิชาการ หรือใช้แพทย์พยาบาลเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า

แต่ถึงแม้จะมีกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดนมผง แต่มีข้อมูลจากมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยระบุว่า วว่า อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือนแรกของประเทศไทยล่าสุดปี 2565 อยู่ที่ 14 % ตกลงจากปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 23 % และแนวโน้มดังกล่าวเป็นทิศทางที่เหมือนกันทั่วโลก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการระบาดของโควิด-19  ที่ส่งผลให้ต้องมีการผ่าคลอดมากขึ้น  และเมื่อคลอดแล้วต้องแยกลูกออกจากแม่  เพราะกลัวทารกจะติดโควิดจากมารดา  ทำให้เด็กแรกเกิดไม่ได้เข้าเต้ากินนมแม่ตั้งแต่คลอด

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ลดลงในช่วงโควิดระบาด  ทำให้องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ถึงกับออกบทความหัวข้อ “การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด”โดยเน้นว่า นมแม่เปรียบเสมือนวัคซีนหยดแรกสำหรับลูกน้อยที่จะช่วยปกป้องพวกเขาจากการติดเชื้อและการเจ็บป่วย

ก่อนหน้าที่จะมี พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก 2560 ผู้ผลิตนมผง ได้ทำการตลาดหลากหลายรูปแบบ  เช่น จัดงานอีเวนต์ ทำการตลาดผ่านสื่อโซเชียล Call center ส่งจดหมายและเอสเอ็มเอส เพื่อติดต่อแม่และครอบครัว ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ในโรงพยาบาลและคลินิก เช่น แจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ จัดกิจกรรมกับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และผู้ปกครองทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน แจกอุปกรณ์ที่มีตราหรือสัญลักษณ์อื่นๆของผลิตภัณฑ์ให้แก่สถานพยาบาลแจกของขวัญให้บุคลากรในโรงพยาบาล  โฆษณาเกี่ยวกับโภชนาการของทารก  โดยโฆษณาแต่ละชิ้นถูกออกแบบขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ซื้อสินค้า จึงยกข้อมูลแค่ส่วนเล็กๆส่วนเดียวมาเป็นจุดขาย    แต่ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้น เช่น ภูมิคุ้มกัน หรืออธิบายว่าสารต่างๆที่เติมเข้าไป ไม่เหมือนกับสารอาหารตามธรรมชาติที่อยู่ในนมแม่

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตนมผง ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธิ์ การทำการตลาดรูปแบบใหม่ โดยเน้นเข้าถึง”แม่”โดยตรง  จนล่าสุด ทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดย          นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข  แสดงความเป็นห่วงว่า วิธีการทำการตลาดรูปแบบใหม่ของบริษัทนมผง จะส่งผลให้แม่ 4 กลุ่มมีแนวโน้มใช้”นมผง”เลี้ยงลูกแทน “นมแม่” มากขึ้่น  โดยมีการศึกษาผลจากการส่งเสริมการตลาดบริษัทผู้ผลิตนมเพื่อหาว่า การทำการตลาด รูปแบบใดที่ส่งผลต่อทัศนคติและพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมผง  โดยมีการสำรวจการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก จากแม่จำนวน 330 คนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ผลการศึกษาพบว่า แม่ 4กลุ่ม ได้แก่ 1.  แม่ที่ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับนมผงจากบุคคลอื่นๆ เช่น บุคคลในครอบครัว เพื่อน และบุคลากรทางการแพทย์ มีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติที่ดีและชื่นชอบนมผงมากกว่าแม่ที่ไม่เคยได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับนมผงจากบุคคลอื่นๆ 2. รวมถึงแม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเดียว หรือแม่ที่มีฐานะครอบครัวปานกลางมีแนวโน้มที่จะชื่นชอบนมผงมากกว่าเช่นกัน  3. นอกจากนี้ แม่ที่เคยมีประสบการณ์หรือเคยได้รับการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กในสถานพยาบาล มีแนวโน้มที่จะใช้นมผงในการเลี้ยงลูกของตนเองมากกว่าแม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ หรือได้รับการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กในสถานพยาบาล  4.ส่วนแม่ที่ต้องทำงานก็มีแนวโน้มที่จะป้อนนมผงให้ลูกมากกว่าแม่ที่ไม่ทำงาน ล้วนเป็นแม่ที่มีแนวโน้มใช้นมผงเลี้ยงลูกมากกว่านมแม่

“เป็นที่ทราบกันดีว่า “นมแม่ดีที่สุด” เพราะส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก โดยองค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ แนะนำให้เด็กทารกควรได้รับนมแม่ครั้งแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด และควรได้กินนมแม่อย่างเดียวจนถึง 6 เดือน และกินนมแม่ควบคู่กับอาหารตามวัยที่เหมาะสมจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น แต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เช่น การโฆษณา การลดราคา บริษัทหรือตัวแทนติดต่อกับแม่โดยตรง เป็นต้น” นพ.รุ่งเรืองกล่าว

นพ.รุ่งเรือง กล่าวอีกว่า จากผลการศึกษาดังกล่าวจึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ 1.กระทรวงสาธารณสุข ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 โดยการติดตามการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ทั้งช่องทางออนไลน์ หรือช่องทางอื่นๆ ทุกช่องทางอย่างสม่ำเสมอ และมีการตัดสินบังคับใช้บทลงโทษกับผู้ละเมิด พ.ร.บ.อย่างจริงจัง 2.สถานพยาบาลทุกแห่งทุกระดับทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องเป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก (Baby-Friendly Hospital Initiative, BFHI) โดยอาจกำหนดให้เป็นเกณฑ์ในการรับรองคุณภาพของสถานพยาบาล 3.ควรมีการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในกลุ่มแม่ที่ต้องกลับไปทำงาน เช่น การขยายวันลาคลอดเป็น 6 เดือน หรือการพัฒนามุมหรือสถานที่สำหรับบีบ ปั๊ม เก็บน้ำนมแม่ในสถานประกอบกิจการ ให้เป็นสวัสดิการตามกฎหมาย และ 4.การให้ความรู้กับแม่และครอบครัว บุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ให้เข้าใจถึงประโยชน์ และความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่0

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รมว.สธ. ตอก 'บิ๊กโจ๊ก' เปิดเว็บรับแจ้งศพน้ำท่วม ชี้วัดอะไรไม่ได้ หลักฐานชัดคือใบมรณะบัตร

"พัฒนา​" เมิน​ "บิ๊กโจ๊ก" ปูด​ตัวเลขผู้เสียชีวิตน้ำท่วมใต้หลักพัน​ ชี้ตัวเลข​ 140 รายของสธ.​ ผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง บอก​ หลักฐานชัดคือใบมรณะบัตร ตัวเลขในเว็บไซต์​ชี้ชัดอะไรไม่ได้

สธ. แถลงยอดผู้เสียชีวิ​ต​ 'น้ำท่วมสงขลา'​ 140 คน คาดจากนี้เพิ่มแค่หลักหน่วย

นพ.ศักดา อัลภาชน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข​ แถลงสถานการณ์ผู้เสียชีวิจากเหตุน้ำท่วม​ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา​ ว่า​ จะยึดข้อมูลที่​โรงพยาบาลสงขลานครินทร์​เป็นหลัก เพราะศูนย์​รวบรวมศพผู้เสียชีวิต​ ซึ่งข้อมูลปัจจุบัน​ ณ​ เวลา​ 16.00​ มีผู้เสียชีวิตอยู่ในระบบ 140 คน

'หมอยง' เปิดข้อมูล 'ไข้เลือดออก' ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง "วัคซีนไข้เลือดออก" โดยระบุว่า

พปชร. วืดคุมกลาโหม! ได้ 2 รมว.สธ.-แรงงาน กับ 2 รมช. 'บิ๊กป้อม' เคาะเอง

'สันติ” เผยมติ กก.บห. มอบ 'บิ๊กป้อม' เคาะชื่อ 4 รมต. ส่งนายกฯ คอนเฟิร์มได้ 2 รมว.'สธ.-แรงงาน' กับ 2 รมช. ไร้กลาโหม อารมณ์ดีนั่ง 4 เดือน เพื่อต่อยอด 4 ปี

ไข้ดินระบาดอีสาน! นักวิชาการจี้รัฐเตือนภัย เสียชีวิตแล้ว 72 ราย

“นักวิชาการธรรมศาสตร์” จี้รัฐ-กระทรวงสาธารณสุข เร่งรณรงค์ให้ความรู้ “โรคไข้ดิน” เหตุพบมากในฤดูฝน โดยเฉพาะภาคอีสาน ชี้เป็นโรคซับซ้อน-วินิจฉัยยาก ปี 2568 ดับแล้ว 72 ราย ผงะ! ประชาชน-บุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ระบาดจำนวนไม่น้อยกลับยังไม่รู้จักโรคนี้ แนะเร่งส่งเสริมการตรวจโรค