
ทุกปีประเทศไทยสูญเสียงบประมาณพันล้านบาทเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ทั้งกำแพงกันคลื่น เขื่อนกันคลื่น เติมทรายชายหาด หรือรอดักทราย แต่มาตรการโครงสร้างเชิงวิศวกรรมไม่สามารถหยุดยั้งการสูญเสียพื้นที่ริมชายฝั่งทะเล ปัจจุบันปัญหารุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเล ความสูงคลื่น พายุรุนแรงตลอดจนกิจกรรมการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
มีการคาดการณ์อนาคตของพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยเมื่อต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากภาวะโลกเดือด แม้ในสถานการณ์ที่ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มน้อยที่สุด หาดทรายจะหายไป 45 % และถ้าเลวร้ายที่สุดจะหายไปถึง 71% ภายในปี 2643 หรือ 67 ปีจากนี้

สำรวจมาตรการป้องกัดกัดเซาะชายฝั่งเกาะลันตา จ.กระบี่
จังหวัดกระบี่ที่มีแนวชายฝั่งรวมกว่า 200 กิโลเมตร เป็นพื้นที่มีแนวโน้มต่อภัยคุกคามสูง มีความจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถและบทบาทของชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเลเพื่อติดตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของชายหาด นำมาสู่การขับเคลื่อนโครงการ”วิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง เพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการกัดเซาะชายฝั่ง” โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้และภาคปฏิบัติตรวจวัดชายหาดด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดรูปตัดชายหาดและบันทึกผลลงระบบติดตามด้วยเทคโนโลยี BEACH MONITORING (BMON) ที่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ มี ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดี ทช. ผู้แทน สสส. ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะลันตา ผู้แทน อปท. เกาะลันตา เจ้าหน้าที่มูลนิธิอันดามัน เข้าร่วม

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี-ดร. ชาติวุฒิ วังวล ติดตามปัญหากัดเซาะชายฝั่ง
ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี กล่าวว่า ประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลยาว 3,151 กิโลเมตร ใน 23 จังหวัด ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งถึง 1 ใน 4 ส่งผลกระทบ ทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เป็นอีกพื้นที่ได้รับผลกระทบกัดเซาะชายฝั่ง จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาที่ถูกวิธี จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลชายหาดที่มีความถูกต้อง มีความรู้ ความเข้าใจกระบวนการทางธรรมชาติของชายหาด ความสมดุลชายฝั่งทะเล และวิธีป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ดังนั้น ชาวลันตาผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงต้องได้รับความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง ติดตามข้อมูลชายหาดด้วยตนเอง เพื่อนำใช้ในการตัดสินใจเลือกวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะที่ถูกต้องและเหมาะสมกับพื้นที่
“ เกาะลันตาเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มาสัมผัสทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ ชายหาดที่สวยงาม การถ่ายทอดองค์ความรู้ในโครงการนี้เติมเต็มความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ชายหาดหน้าบ้าน จากที่มีความรู้เรื่องคลื่นลมมรสุมจากวิถีชุมชนชายฝั่ง สร้างการมีส่วนร่วมให้คนลันตากำหนดทิศทางในการดูแลรักษาชายหาดอย่างยั่งยืน สร้างภูมิต้านทานเลือกมาตรการหยุดกัดเซาะ จากเดิมส่วนกลางคิดและทำโครงการลงมา ซึ่ง ทช. ร่วมกับ สสส. เครือข่ายชุมชนชายฝั่งทั้ง 24 จังหวัด และเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลทั่วประเทศกว่า 880 คน พัฒนากลไกบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเล เราให้ความสำคัญกับการปรับตัว ทุกวันนี้โลกเดือดส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล ภาคประชาชนต้องช่วยกันสอดส่องดูแลตั้งแต่ชายฝั่งทะเล ป่าชายเลน และทะเล รวมถึงการทำลายปะการัง หญ้าทะเล สัตว์ทะเลหายากเกยตื้น การทำประมงผิดกฎหมาย บุกรุกตัดไม้ป่าชายเลน และการจัดการขยะทะเล” อธิบดี ทช. กล่าว

ลงภาคสนามตรวจวัดชายหาดด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดรูปตัดชายหาด-บันทึกผลลงระบบ BMON
ด้าน ดร.ชาติวุฒิวังวล ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า สสส.ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง สานพลังภาคีเครือข่ายพัฒนานวัตกรรม “เครื่องวัดความลึกน้ำทะเลชายฝั่ง” อย่างง่าย ที่ใช้วัสดุท่อ PVC ให้คนในพื้นที่สามารถใช้งานด้วยตนเอง และเรียนรู้ระบบตรวจวัดรูปตัดชายหาดด้วยเทคโนโลยี BMON ที่เป็นฐานข้อมูลการเปลี่ยนแปลงชายหาด ถือเป็นครั้งแรกของไทยที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามหลักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (Citizen Science) ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกิดความรู้ ความเข้าใจ สร้างความตื่นตัวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการกัดเซาะชายฝั่ง เรียนรู้ต่อการปรับตัวต่อภัยคุกคามได้อย่างถูกต้อง
“ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความซับซ้อน มีการคาดการณ์ในอนาคตอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น จะสูญเสียพื้นที่ชายฝั่งมากขึ้น ต้องเตรียมความพร้อมระดับพื้นที่ หัวใจสำคัญ คือ สร้างนำซ่อม เพราะถ้าเสียหายแล้วซ่อมแซมยาก โดยเฉพาะชุมชนชายฝั่งที่มีรายได้จากการท่องเที่ยว ชายหาดเป็นทรัพยากรสำคัญ หาดหายไป รายได้หายไป กระทบท่องเที่ยว กระทบอาชีพ ไม่รวมการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการนี้หาทางออกผ่านการอบรม ตอบโจทย์การสร้างสุขภาวะที่ดีที่บูรณาการความร่วมมือกับรัฐ อปท. ภาคประชาชน ภาคเอกชน สู่การรักษาทรัพยากรที่ดีให้รุ่นลูกหลาน “ ดร.ชาติวุฒิ กล่าว

โครงสร้างทางวิศวกรรมป้องกันกัดเซาะที่ อ.เกาะลันตา
ผศ.ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้พัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัด BMON กล่าวว่า การติดตามตรวจสอบชายหาดทรัพยากรสิ่งแวดล้อมหน้าบ้านของตนเองมีความสำคัญและเกิดประโยชน์ต่อการวางแผนเพื่อจัดการพื้นที่ชายหาดในระดับชุมชนได้ ข้อมูลที่บันทึกอย่างเป็นระบบยังเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับชุมชนชายฝั่งในพื้นที่กรณีที่ต้องการคัดค้านกิจกรรมที่ทำบนชายฝั่งทะเลอีกด้วย กระบี่ชายหาดยาว 200 กม. เม็ดทรายแต่ละหาด แต่ละพื้นที่ต่างกัน ทรายชายหาดเป็น DNA ชายหาก ไม่มีมาตรการเดียวจัดการทุกหาดได้ ตั้งแต่ปี 2558-2566 กระบี่สร้างกำแพงกันคลื่นป้องกันกัดเซาะแล้ว 1.2 กม. และมีโครงการขุดลอกปากร่องน้ำ ใช้งบไป 129 ล้านบาท ภาพรวมประเทศปี 2567 งบป้องกันกัดเซาะทะเลจาก 3 กรม เกือบ 800 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 60% เป็นงบกรมโยธาฯ ก่อนหน้านี้เราสูญเสียงบ1,000 ล้านบาททุกปี แต่ยังกัดเซาะไปเรื่อย ตราบใดที่คลื่นปะทะชายหาด เม็ดทรายเคลื่อนตัว ส่งผลให้ชายหาดเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆ ทั้งทับถม คงสภาพ และกัดเซาะ เพราะชายฝั่งทะเลเป็นพื้นที่ที่มีพลวัตรและการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
“ ชายฝั่งทะเลไทย 3,151 กม. รัฐสร้างกำแพงกันคลื่นไปแล้ว 190 กม. เขื่อนกันคลื่น 112 กม. เติมทรายชายหาด 2.8 กม. แล้วก็รอดักทรายอีก 29 กม. เวียนใช้ 4 มาตรนี้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันป้องกันกัดเซาะชายฝั่ง ที่เกาะลันตา จ.กระบี่ ก็ทำกำแพงกันคลื่นในหลายจุด ซึ่งมีอีกหลายพื้นที่เกิดปัญหากัดเซาะขึ้น หากตัดสินใจใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสมในพื้นที่ จะอาจส่งผลให้ชายหาดหายไป เทคโนโลยีที่ถ่ายทอดให้ชุมชน จะทำให้รู้สุขภาพชายหาด เท่ากันต่อการเปลี่ยนแปลง เอื้อต่อการวางแผนอนุรักษ์ ฟื้นฟูและพัฒนา ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงชายหาดภาคสนามที่สำคัญ เช่น รูปตัดชายหาด ภาพถ่ายมุมเดิมๆ ความลาดชันชายหาดในแต่ละช่วงเวลา เป็นการต่อสู้ด้วยข้อมูลยับยั้งโครงสร้างทางวิศวกรรม อุปกรณ์ตรวจวัดต้นทุนต่ำ สามารถประดิษฐ์และซ่อมแซมได้เองในท้องถิ่น แต่มีความถูกต้องระดับที่ยอมรับได้ ทำงานร่วมกับแอป BMON เพื่อติดตามชายฝั่งผ่านสมาร์ทโฟน ทั้งยังสร้างความตระหนักชุมชนเป็นเจ้าของพื้นที่ ” ผศ.ดร.สมปรารถนา กล่าว
นักวิชาการ มก. ระบุภาวะโลกเดือด โลกรวน ทำให้ชายหาดเกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเดิม โดยเฉพาะภัยคุกคามการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อด้านขวานของไทย ถ้าไม่ทำอะไรเลย เผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นมากที่สุด เราจะสูญเสียพื้นที่ริมชายหาดถึง 80% มาพร้อมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของกำแพงกันคลื่น ซึ่งไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการการจัดการพื้นที่ชายหาดในชุมชนอย่างยั่งยืน

ชุมชนชายฝั่งลันตาร่วมตรวจวัดชายหาดด้วยอุปกรณ์วัดรูปตัดชายหาด
หนึ่งในชุมชนชายฝั่งกระบี่ เรืองเดช คล่องดี ประธานกลุ่มชุมชนชายฝั่ง ต.เกาะกลาง อ.เกาะลันตา พาชาวบ้านหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 9 ต.เกาะกลาง ร่วมฟังการบรรยายและสาธิตภาคสนาม กล่าวว่า ชุมชนชายฝั่งทะเล พบปัญหากัดเซาะรุนแรงตั้งแต่ปี 2549 นำมาสู่การวางกติกาดูแลระบบนิเวศป่าชายหาดระยะทาง 1 กม. อนุรักษ์หญ้าทะเลใต้น้ำ พัฒนาจนเป็นชายหาดที่คงความสมดุลร่วมกับรัฐ หากรัฐหรือผู้ประกอบการจะสร้างกำแพงกันคลื่น จะต้องผ่านการยอมรับชุมชน สำหรับเทคโนโลยี BMON ที่นำมาถ่ายทอดจะเติมเต็มการเก็บข้อมูลสภาพชายหาดของชุมชนให้สมบูรณ์มากขึ้น และจะแนะนำเทคโนโลยีนี้ให้กับเพื่อนบ้านในการจัดการชายหาดหน้าบ้าน ช่วยกันพัฒนาพื้นที่เกาะลันตาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสีเขียวอย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขับเคลื่อน...ข้อมูลสุขภาพ กุญแจหยุดโรคเรื้อรังของสังคมไทย
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตยุคดิจิทัล โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ได้ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาเป็นภัยเงียบของคนไทยอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่โรคเบาหวาน
สสส. สานพลัง เครือข่ายเล่นเปลี่ยนโลก-เครือข่ายเด็ก เยาวชนภาคใต้ เดินหน้าหนุนชุมชนสร้าง “ลานเล่นอิสระ” ใกล้บ้าน
น.พ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เหตุการณ์วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต เกิดผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
สสส. ปลื้ม แนวคิด “Happy Workplace” ช่วยคนทำงานอุตสาหกรรมขนส่ง 102 แห่ง สุขภาวะดี-ลดป่วย NCDs-ลดอุบัติเหตุทางถนน เดินหน้าสานพลัง สมาคมขนส่งสินค้าฯ เปิดเวที “TRUCK HERO : ฮีโร่รถบรรทุก ขับเคลื่อนความปลอดภัย ใส่ใจสุขภาวะ”
สสส. สานพลัง สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย จัดกิจกรรม “TRUCK HERO: ฮีโร่รถบรรทุก ขับเคลื่อนความปลอดภัย ใส่ใจสุขภาวะ” ภายใต้โครงการขับเคลื่อนและขยายผลการเสริมสร้างสุขภาวะในองค์กรแก่บุคลากรในธุรกิจขนส่ง ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
รัฐบาลไทยเร่งแก้ปัญหาท้องในวัยรุ่น บูรณาการความร่วมมือ 3 หน่วยงาน ถอดบทเรียน 8 คู่มือปฏิบัติงานเสริมสร้างกลไภความเข้มแข็งในระดับพื้นพื้นที่
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พิธีเปิด "การประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อส่งมอบผลงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของประเทศ" โดยจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สสส. ผนึกกำลัง 10 หน่วยงาน 100 ภาคี เตรียมจัดงานThailand National PM 2.5 Forum #2 เปลี่ยนระบบ เชื่อมข้อมูล ขับเคลื่อนอากาศสะอาด
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงข่าวเตรียมความพร้อมการประชุมระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM2.5 ครั้งที่ 2 (Thailand National PM2.5 Forum #2)
“เติมพลังใจ” สร้างการเรียนรู้ 1 ปีบัสนร.ไฟไหม้
กิจกรรม “เติมพลังใจ” สร้างการเรียนรู้ความปลอดภัยทางถนนแก่เด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อยกระดับมาตรฐาน “รถรับส่ง-คนขับ” สร้างการเรียนรู้ ป้องกันเหตุซ้ำรอย

