
อาชีพปลูกมันสำปะหลัง เป็นอาชีพเก่าแก่ของเกษตรกรของประเทศไทย เนื่องจาก มันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศยาวนานมาหลายสิบปี แต่ในยุคปัจจุบัน การปลูกมันสำปะหลังต้องประสบกับปัญหาความอ่อนไหว นอกจากปัญหาสภาพดิน และศัตรูพืช ยังมีปัญหาเกษตกรที่มีอาชีพปลูกมันที่มีอายุสูงขึ้น จากการสำรวจคร่าวๆเกษตรกรในภาคอีสานที่ปลูกมันพบว่า มีอายุเฉลี่ยประมาณ 55 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ที่เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของเกษตรกรกลุ่มนี้ ยังไม่อยากยึดอาชีพปลูกมันสำปะหลังอีกด้วย ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังในหลายจังหวัดในภาคอีสานลดต่ำลงเหลือประมาณเฉลี่ย 2 ตันต่อไร่ นับว่าน้อยเมื่อเทียบกับผลผลิตของจังหวัดนครราชสีมาที่เป็นแหล่งปลูกสำคัญที่มีประมาณ4-5 ตันต่อไร่

ด้วยเหตุนี้ บริษัทพรีเมียร์ ควอลตี้ สตาร์ช จํากัด (มหาชน) หรือ PQS ผู้ดําเนินธุรกิจผลิตและจําหน่ายแป้งมันสําปะหลัง และแป้งดัดแปร จึงเข้ามามีส่วนกระตุ้นให้อาชีพปลูกมันสำปะหลังได้รับการสืบทอด และมีความยั่งยืนในอนาคต ภายใต้แนวคิด PQS Eco Park ด้วยการงปลูกฝังคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจอาชีพนี้ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทำงานเกษตรกร ตลอดจนนำหลักสูตรการปลูกมันสำปะหลังที่ทันสมัย หรือ Smart Farming มาสอนให้กับเด็กๆรุ่นใหม่ โดยนำหลักสูตรดังกล่าวนี้บรรจุให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยหวังว่าเด็กรุ่นใหม่ จะสืบทอดอาชีพของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ต่อไป เพื่อนําไปสู่อาชีพที่มั่นคงยั่งยืนของเกษตรกรปลูกมันชาว อิสาน และเพิ่มผลผลิตการปลูกมันสําปะหลัง รวมทั้ง ยังเกิดผลพลอยได้ หรือ “Waste to Value” ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกสู่ “Net Zero”ภายในปี 2570 ได้ในที่สุด

นายรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพรีเมียร์ ควอลตี้ สตาร์ช จํากัด (มหาชน) หรือ PQS เปิดเผยว่า บริษัทดําเนินธุรกิจมา 20 ปี มีความเชือในเรื่องความยั่งยืน(SD concept)ตลอดมา ว่าเป็น ทางรอดร่วมกันของสังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ดังนั้นเมื่อปี 2566ได้มีแนวคิดในการพัฒนาใช้ประโยชน์พื้นที่ Secure Supply เพาะปลูกมันสําปะหลังเพือส่งเข้าโรงงาน ของบริษัท ซึ่งมีพื้นที่ขนาด 250ไร่ ด้วยการสร้างต้นแบบความยั่งยืนของพื้นที่ปลูกมันสําปะหลังภายใต้แนวคิด “PQS Eco Park” ซี่งเน้นการ พัฒนาร่วมกับชุมชนในด้านการอนุรักษ์ดินและนำการปลูกต้นไม้เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติ เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ (Eco System) ให้กลับมาสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับ ระบบนิเวศเกษตรโดยให้เกษตรกรจากชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอีกด้วย โครงการนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ลดผลกระทบจากการดําเนินธุรกิจด้านการผลิต และมุ่งเน้นสร้างผลกระทบเชิงบวกด้วย การนําผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมแป้งมันสําปะหลัง กลับมาใช้ประโยชน์ในแบบ “Waste to Value” เป็นการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรที่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ อย่างมาก

“การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือกเพียงเพื่อตัวเราเองอีกต่อไป แต่เป็นมรดกที่ทิ้งไว้ให้กับ คนรุ่นหลัง เราทุกคนจึงต้องร่วมแรงร่วมใจเพื่อ สร้างอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน และการกระทํา ของเราในวันนี้จะเป็นสัญญาณแห่งความหวัง สําหรับภายภาคหน้านี้ ไม่ใช่ปัญหาที่บริษัทใด บริษัทหนึ่ง หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง จะสามารถแก้ไข ได้เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และประชาชน เมื่อทุกคน ตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาที่กําลัง วิกฤตนี้และมีการยกระดับจิตสํานึกร่วมกันที่จะลงมือ ปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะสร้างมาตรฐานทีดีต่อสังคมใน อนาคตได้” นายรัฐวิรุฬห์กล่าว
ในด้านการปรับปรุงดิน เพื่อฟื้นฟูการเสื่อมโทรมจากการปลูกพืชมาเป็นระยะเวลานาน PQS ได้ริเริ่ม นวัตกรรมการใช้สารอินทรีย์ในการปรับปรุงดิน (โครงการ Resoil คืนชีวิตให้ดิน เติมพลังให้โลก) โดย PQS ผลิต สารอินทรีย์จากผลพลอยได้ของกระบวนการแปรรูปมันสําปะหลัง เพื่อปรับปรุงบํารุงดินและส่งเสริมการเกษตรคุณภาพ จากดินกากตะกอนที่เหลือจากกระบวนการผลิตมาใช้ในการ ปรับปรุงดิน เพราะในดินกากตะกอน เหล่านี้มีสารอินทรีย์ และธาตุอาหารที่เหมาะสมในการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ของดินและปรับปรุงโครงสร้างดินซึ่งช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช การใช้สารอินทรีย์ในการปรับปรุง ดินยังเป็นการปรับปรุงดินที่ปลอดภัยสําหรับการเกษตร โดยบริษัทได้ตังชื่อผลิตภัณฑ์นี้เพือสะท้อน ความเป็นอยู่ของท้องถิ่นว่า “ดินพี” แฮงดี พืชแฮงงาม ดิน บ้านเฮาเพื่อความยั่งยืน

ส่วนโครงการธนาคารต้นไม้ของ PQS เป็นการสร้างต้นแบบความยั;งยืนของพื้นที่ปลูกมันสําปะหลัง และส่งเสริมความยั่งยืนในระบบเกษตรกรรมและชุมชน บริษัทมีการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ โดยเน้นการฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างแหล่งอาหารตามธรรมชาติให้กับชุมชน นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยลดผลกระทบจากสภาพอากาศรุนแรง (Climate Change) ช่วยให้พืชไร่สามารถทนต่อสภาพอากาศได้ โดยปัจจุบันเริ่มมีเกษตรกร
นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกในพื่นที่บริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน ซึ่งเป็นเฟสแรก ที่เริ่มมีการปลูกป่าเพื่อเป็นแหล่งเงินออม สร้างแหล่ง อาหารตาม ธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพิงจากแหล่งอาหาร ภายนอกและส่งเสริมการดํารงชีวิตอย่างยั่งยืนในชุมชน และเตรียมจัดตั้ง Social Enterprise ร่วมกับสมาชิกกลุ่มธนาคารต้นไม้
ด้านอาหารปลอดภัย PQS ยังมุ่งสร้าง Eco Park เป็นฐานในการพัฒนาระบบเกษตรกรรม นําใช้ วัสดุ หมุนเวียนจากดินกากตะกอน และ ทําอาหารสัตว์จาก by products เร่งเตรียมพื้นที่การทํางานเพื่อใช้ประชุม สมาชิก เร่งจัดทําแปลงสาธิต พร้อมกับการขยายจํานวนสมาชิกให้ ครอบคลุมพื้นที่แปลงมันสําปะหลัง เพื่อส่งเสริมสมาชิกให้เข้าร่วมปฏิบัติการกับโครงการ Sojitz สําหรับจัดส่งมันไร่ในพื้นที่ของสมาชิกธนาคารต้นไม้เข้าสู่โรงงาน การจัดการน้ำเหลือจากกระบวนการผลิตแป้ง (effluent) การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อบําบัดน้ำ อาทิ น้ำทิ้งจากการผลิตให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้

“บริษัทมีความตั้งใจที่จะส่งเสริม พื้นที่250ไร่ หรือ PQS Eco Park ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอด ความรู้ ด้านการจัดการระบบนิเวศเกษตรที่ดี โดยการ แนะนําเกษตรกรในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ พัฒนาอาชีพ ซี่งจะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจในการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยเน้น การพัฒนาทักษะและความรู้ในการจัดการเกษตรกรรม และสนับสนุนให้ชุมชนมีรายได้จากการผลิตพืชเกษตรแบบยั่งยืน ซึ่งจะช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่;ยวกับการ รักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน โดยสร้างอาคารอเนกประสงค์จากวัสดุรียูส เพื่อใช้ในการจัดประชุมชาวบ้าน และเป็นจุดสาธิตกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตร มีการผลิต Content ในชื่อ eco-park studio ส่งเสริมความรู้เกษตรกรในโซเชียลมีเดีย จัดกิจกรรม eco- park event สถานีวิจัยดิน การสนับสนุนเครื่องจักรกล เกษตรสําหรับสมาชิกแปลง”นายรัฐวิรุฬห์ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกษตรกรปลูกมันสำปะหลังพื้นที่ชายแดน จ้างงานผู้อพยพเก็บผลผลิต ชี้ปิดด่านส่งผลดีราคามันสูงขึ้น
เกษตรกรหมู่บ้านชายแดน อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่ลูกกระสุนปืนใหญ่ตก เร่งจ้างแรงงานที่อพยพกลับเข้าหมู่บ้านกว่า 10 คน เก็บกู้ผลผลิตมันสำปะหลังขายแม้ราคาต่ำ ชี้ยังไม่มั่นใจสถานการณ์เกรงจะเกิดปะทะซ้ำอีก เพราะหลังเจรจาหยุดยิงแล้วแต่ฝั่งเขมรยังลอบวางทุ่นระเบิดและก่อกวนไม่หยุด


