
ปัจจุบันภาคตะวันออกของประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมากขึ้น ทั้งจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และการท่องเที่ยว ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกเดือดที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ที่ใช้พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมอย่างหนาแน่น
ล่าสุด การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2568 ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นั่งหัวโต๊ะประธานการประชุม เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 มีมติในเรื่องที่สำคัญ เห็นชอบ การประกาศกำหนดเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติม จำนวน 5 แห่ง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ ประกอบด้วยอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมกาแฟไทย อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยานยนตร์สมัยใหม่ ดิจิทัล การแพทย์และสุขภาพครบวงจร เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ รวมถึงหารือกรณีภาคเอกชนมีข้อเสนอแนะเร่งด่วนเพิ่มจังหวัดปราจีนบุรี เป็นอีก 1 จังหวัด ที่จะรวมอยู่ในพื้นที่อีอีซี

โจทย์ที่ท้าทายในการพัฒนาพื้นที่ EEC นอกจากการเติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ยังสามารถบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำ จากโรงงานขยายตัว การท่องเที่ยว ความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น มีการจ้างงานมากขึ้น ที่อยู่อาศัยขยายตัว การจัดการน้ำที่เท่าเทียมต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชนรวมทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาชน เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนน้ำ รวมไปถึงป้องกันอุทกภัยที่มีแนวโน้มเกิดถี่และรุนแรงขึ้น
กรมชลประทานนำคณะสื่อมวลชนติดตามการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก และพื้นที่ EEC ประกอบด้วยโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ , อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง และอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถกระจายน้ำได้ทั่วถึง และเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค เมื่อวันที่ 28-29 สิงหาคม 2568

นายทินกร เหลือล้น ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 9 กล่าวว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 6 แห่ง และขนาดกลาง 52 แห่ง รวมทั้งสิ้น 58 แห่ง ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกันทั้งสิ้น 1,344 ล้านลบ.ม. หรือคิดเป็น 52 % ของความจุอ่างฯ รวมกัน ซึ่งจะมีปริมาณน้ำเข้ามาเติมเต็มอ่างฯ ในภาคตะวันออก ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2568 ทั้งอ่างฯ ประแสร์ อ่างฯ หนองปลาไหล และอ่างฯ บางพระ จะมีปริมาณเก็บกักน้ำเต็มความจุ 100% สิ้นเดือนตุลาคมนี้
ขณะนี้มีการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ฯและคลองชลประทานพานทอง มาเติมน้ำต้นทุนในอ่างฯบางพระ ปริมาณน้ำสะสมรวมประมาณ 35 ล้าน ลบ.ม. การสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง มาเติมน้ำต้นทุนให้อ่างฯบางพระ ปริมาณน้ำสะสมรวม 3.1 ล้าน ลบ.ม. การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 27 ล้าน ลบ.ม. การสูบผันน้ำกลับจากคลองสะพานไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ ปริมาณน้ำสะสมรวม 7.8 ล้าน ลบ.ม. การสูบผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ไปเสริมน้ำต้นทุนให้กับอ่างฯหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 20ล้านลบ.ม. การสูบผันน้ำกลับจากวัดละหารไร่ไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 1.58 ล้านลบ.ม. ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการผลิตน้ำประปา รักษาระบบนิเวศ การเกษตรและภาคอุตสหกรรม ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) ได้อย่างเพียงพอ ตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ ความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC โดยชลบุรี ใช้น้ำ 5 แสน ลบ.ม. ต่อวัน หรือ 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อเดือน ระยอง 2.2 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน มีการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำในปี 2570 อยู่ที่ 2,888 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้นจากปี 2560 อยู่ที่ 2,400 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ ปี 2580 มีปริมาณความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 670 ล้าน ลบ.ม. หรือกว่า 3,500 ล้าน ลบ.ม. ตามคาดการณ์เศรษฐกิจ สังคม และประชากรที่เติบโตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการทบทวนและวิเคราะห์ความต้องการใช้น้ำในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้ทันสมัยอยู่เสมอ สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำที่แท้จริงของแต่ละภาคส่วน

การพัฒนาแหล่งน้ำรองรับการขยายตัวเขต EEC เป็นทางออกแก้โจทย์ความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น นายทินกร กล่าวว่า กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินวางแผนบริหารจัดการน้ำผ่านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ตั้งแต่ปี 2563-2580 รวม 39 โครงการ ทั้งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ ปรับปรุงเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำเดิม สร้างโครงข่ายน้ำเพิ่มขึ้น จัดทำระบบสูบน้ำกลับ รวมทั้งการขุดลอก และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ลุ่มต่ำเพิ่มเติม และยังได้มีการนำแนวคิดและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น
“ ปัจจุบันมีโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 17 โครงการ ได้น้ำเพิ่ม 260 ล้าน ลบ.ม. อยู่ระหว่างดำเนินการ 6 โครงการ หากแล้วเสร็จจะได้น้ำเพิ่มอีก 100 ล้าน ลบ.ม. และมีอีก 16 โครงการที่ต้องขับเคลื่อน คาดว่า หากดำเนินการโครงการแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2580 จะมีโอกาสสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ถึง 909 ล้าน ลบ.ม. จะช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำให้แก่ประชาชนและเกษตรกรทั้งในและนอกพื้นที่ EEC ให้มีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและการเกษตรใช้ได้อย่างเพียงพอและไม่ขาดแคลนน้ำในอนาคตอย่างแน่นอน กรณีจะขยาย EEC รวมปราจีนบุรี ปัจจุบันมีการพัฒนาแหล่งน้ำอย่างโครงการห้วยโสมง และโครงการอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา “ นายทินกร กล่าว

ผอ.สำนักชลประทานที่ 9 เน้นย้ำการบริหารจัดการน้ำต้องเพียงพอสำหรับ 3 กิจกรรมหลัก อันดับหนึ่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค อันดับ 2 รักษาระบบนิเวศ อันดับ 3 ภาคเกษตร ก่อนจะจัดสรรน้ำให้ภาคอุตสาหกรรม อย่างชลบุรี การใช้น้ำเพื่อเกษตรมีน้อย เป็นการใช้น้ำอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ และอุตสาหกรรม อ่างฯ บางพระ ชลบุรี มีพื้นที่เกษตรกรรม ไม่เกิน 500 ไร่ รวมถึงเตรียมแผนรองรับ EEC เมืองใหม่ คาดมีการใช้น้ำ 30 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี

ส่วนระยอง มีพื้นที่ท้ายน้ำเป็นพื้นที่เกษตรบริเวณแม่น้ำระยอง บริเวณฝายบ้านค่าย รวมถึงประแสร์ที่เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากทำนามาปลูกยางพารา ปลูกสัปปะรด สร้างรายได้ ปัจจุบันเปลี่ยนมาปลูกทุเรียนเกินร้อยละ 90 เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจผลตอบแทนสูง การจัดสรรน้ำต้องเพียงพอเพื่อให้ทุเรียนออกดอก ออกผล เกษตรกรได้ราคาดี ซึ่งการวางแผนใช้น้ำแต่ละปีกรมฯ และกลุ่มผู้ใช้น้ำต้องตกลงร่วมกันเพื่อการจัดสรรน้ำที่เป็นธรรม รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในทุกภาคส่วน กำหนดให้มีการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่สร้างความเข้มแข็งของชุมชน
“ ส่วนยุทธศาสตร์แก้ปัญหาภัยแล้ง เน้นการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยใช้ศักยภาพของลุ่มน้ำต่างๆ ให้เกิดความสมดุลเพียงพอต่อความต้องการ บริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ คำนึงถึงความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ มีแนวทางในการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่ท่วมซ้ำซาก รวมถึงทุกปีหลังสิ้นสุดฤดูฝนต้องป้องกันความเค็มรุกแม่น้ำบางปะกง แม่น้ำจันทบุรี แม่น้ำระยองโดยการ ใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำระบายน้ำลงมาไล่ความเค็ม ยันน้ำเค็ม ช่วยเหลือไม่ให้เกษตรกรเดือดร้อน ใช้น้ำเพาะปลูกได้โดยไม่มีผลกระทบ “ นายทินกร กล่าว

ด้าน นายอรุษ เทียนสว่าง ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ กล่าวว่า จังหวัดระยองอยู่ในลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก มีแม่น้ำหลักที่สำคัญ คือ แม่น้ำประแสร์ ความยาว 60 กิโลเมตร อ่างประแสร์สร้างกั้นแม่น้ำเป็น 1 ใน 5 อ่างเก็บน้ำในพื้นที่ จ.ระยอง และถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด ความจุอยู่ที่ 295 ล้าน ลบ.ม. รวมพื้นที่ชลประทาน 175,000 ไร่ ส่งน้ำโดยสถานีสูบน้ำเพื่อการเกษตร ไหลตามท่อส่งน้ำ ลงลำน้ำธรรมชาติ และตั้งสถานีสูบน้ำย่อยขนาดเล็กกระจายน้ำในพื้นที่ มีระบบชลประทานฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายส่งน้ำด้วยคลองส่งน้ำกระจายสู่พื้นที่เกษตร และมีส่วนขยาย เน้นส่งน้ำด้วยสถานีส่งน้ำ เพราะพื้นที่ลาดชัน
อย่างไรก็ตาม ภาคตะวันออกมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จ.ระยอง อยู่ใน EEC ต้องจัดสรรการใช้น้ำอย่างยั่งยืน อ่างฯ ประแสร์เคยวิกฤต เผชิญภาวะขาดแคลนน้ำในปี 62 และปี 63 ซึ่งเป็นปัญหาภัยแล้งทั้งภาคตะวันออกส่งผลกระทบทุกภาคส่วน มีการแก้ปัญหาผ่านการสูบผันน้ำข้ามลุ่มจากลุ่มน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี กว่า 29 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นแผนสำรองเติมน้ำกรณีฉุกเฉิน จนสามารถผ่านวิกฤตมาได้ นำมาสู่การพัฒนาเครื่องมือ สร้างสถานีระบบน้ำสูบกลับคลองสะพานแห่งที่ 1 ซึ่งตอบโจทย์ และกำลังสร้างสถานีระบบน้ำสูบกลับคลองสะพานแห่งที่ 2 เพิ่มเติม
“ ปีนี้ฝนมาเร็ว ก่อนที่จะฝนทิ้งช่วง ปัจจุบันปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์อยู่ที่ 200 ล้าน ลบ.ม. เมื่อเทียบกับปี 67 อยู่ที่ 225 ล้าน ลบ.ม. จัดสรรน้ำให้ภาคเกษตร 60-80 ล้าน ลบ.ม. ภาคอุตสาหกรรม 70 ล้าน ลบ.ม. ประปา 40 ล้าน ลบ.ม. และมีการขายน้ำดิบให้ภาคเอกชนอีก 40 ล้าน ลบ.ม. เหลือเวลาอีก 2 เดือน จะสิ้นสุดฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำเข้ามาเติมจนเต็มอ่าง ยืนยันมีปริมาณน้ำเพียงพอทุกภาคส่วน และพื้นที่ EEC ไม่ขาดแคลนน้ำอย่างแน่นอน ทั้งปี 68 และฤดูแล้งในปี 69 แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเร่งสร้างอ่างฯ คลองโพล้ จะเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้อีก 40 ล้าน ลบ.ม. สามารถใช้น้ำภาคเกษตรกรรม 30,000 ไร่ จะเริ่มเก็บกักน้ำได้ปลายปี 2569 และทำระบบเชื่อมโยงนำน้ำเหลือใช้มาเก็บที่อ่างฯ ประแส สร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยอง “ นายอรุษ กล่าว

พื้นที่ EEC อ่างหนองปลาไหลเป็นอ่างหลักขนาดใหญ่ นายพสุธร ดอนคำมูล หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล กล่าวว่า อ่างหนองปลาไหลสร้างกั้นลำห้วยคลองใหญ่ น้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนหนองปลาไหลถูกปล่อยลงสู่คลองชลประทานไหลผ่านอำเภอบ้านค่าย ผ่านพื้นที่ทำการเกษตรในเขตจังหวัดระยอง ช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกในเขตชลประทานกว่า 30,000 ไร่ ทั้งยังจัดสรรน้ำให้ภาคอุตสาหกรรม 300 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี นอกจากนี้ น้ำอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลยังใช้เป็นแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคของคนระยอง น้ำส่วนหนึ่งใช้เป็นแหล่งน้ำดิบผลิตน้ำประปาในจังหวัด โดยการประปาระยองและการประปาบ้านฉาง และยังใช้เป็นแหล่งน้ำสำรองเพื่อการประปาของเมืองพัทยา แหล่งท่องเที่ยวสำคัญจังหวัดชลบุรี มีการคาดการณ์ปี 74 ระยองมีความต้องการใช้น้ำ 800 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี จากเดิม 500 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี ซึ่งมีแผนพัฒนาแหล่งน้ำรองรับ ต้องปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด และสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อรรถกร' สำรองสนามแข่งมวยสงขลา ป้องกระทบ 'ซีเกมส์' ธ.ค.
'อรรถกร' เผยเร่งอพยพนักท่องเที่ยวน้ำท่วมหาดใหญ่ พร้อมสำรองสนามแข่งมวยสงขลา ไม่ให้กระทบ 'ซีเกมส์' เดือนธ.ค.
คลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ทางน้ำสายใหม่พลิกชีวิตริมน้ำชาวกรุงเก่า...ใกล้จริง!
พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีราชธานีเก่าของไทย มีวัดวาอาราม
นายกฯ ดันเมกะโปรเจกต์ คลองระบายน้ำ 'ป่าสัก-อ่าวไทย' เร่งอนุมัติก่อนยุบสภา
"อนุทิน" ลั่นไม่ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน เดินหน้าเข็นเมกะโปรเจกต์โครงการป่าสักอ่าวไทย ผันน้ำขนาดเจ้าพระยา ออกแก้น้ำท่วมซ้ำซาก เร่ง อนุมัติก่อนยุบสภา
โฆษกเกษตรฯ เตือนริมเจ้าพระยา รับระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่ม
นายเอกภาพ พลซื่อ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาและในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาขณะนี้ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กรมชลฯ อัปเดตสถานการณ์น้ำเจ้าพระยา แนวโน้มเพิ่มขึ้น เร่งหน่วงน้ำลดผลกระทบ
กรมชลประทาน อัปเดตสถานการณ์น้ำเจ้าพระยา เวลา 06.00 น. สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์
ฝนตกตอนบนอีกระลอก เขื่อนเจ้าพระยาหน่วงน้ำเหนือเขื่อน ลดผลกระทบด้านท้าย
จากสถานการณ์ฝนตกหนักบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำเหนือและท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและลำน้ำสาขามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น


