'ยาฉีดขนานใหม่ 'ความหวังต้าน'อัลไซเมอร์' คาดป่วยพุ่ง 3 เท่า ในอีก 35 ปี

ผลต่อสมองหลังการฉีดยาเข้าเส้น

“โรคอัลไซเมอร์”พบบ่อยที่สุดของภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงวัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 65–70 ปีที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาการเตือนที่สังเกตได้คือการหลงลืม จำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ ถามซ้ำ ๆ รวมถึงปัญหาด้านการสื่อสาร สมาธิ การตัดสินใจ และการทำกิจวัตรประจำวัน อีกทั้งผู้ป่วยบางรายยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพหรือมีอาการทางจิตและพฤติกรรมร่วมด้วย แม้โรคอัลไซเมอร์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่หากตรวจพบได้เร็ว จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีเวลาเตรียมตัว วางแผนชีวิต และดูแลประคับประคองเพื่อชะลอความรุนแรงของโรคได้ การดูแลผู้ป่วยจึงไม่ใช่เพียงภาระของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่สังคมต้องให้ความสำคัญร่วมกัน

เพื่อสร้างการตระหนักรู้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับชมรมสมองใสใจสบาย และกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร จึงได้จัดกิจกรรมวันอัลไซเมอร์โลก ประจำปี 2568 โดยมีหัวข้อเสวนา ที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุ อาการ และแนวทางป้องกันอัลไซเมอร์ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน ผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างเข้าใจมากยิ่งขึ้น

รศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย หัวหน้าศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อมูลว่าในทุก ๆ 7 วินาที จะมีผู้ป่วยอัลไซเมอร์รายใหม่เพิ่มขึ้น 1 คน หรือคิดเป็นกว่า 4.6 ล้านคนต่อปี สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม แต่รายงานของ Alzheimer’s Disease International ระบุว่า ในปี 2558 ประเทศไทยมีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมประมาณ 600,000 คน และมีการคาดการณ์ว่า ผู้สูงอายุไทยอายุ 60 ปีขึ้นไป ราว 8.2% อาจเผชิญภาวะดังกล่าว

 รศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย

 “เมื่อปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 14 ล้านคน ทำให้จำนวนผู้ป่วยสมองเสื่อมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 900,000 คนในปี 2568 และอาจทะลุ 1.1 ล้านคนในปี 2573 ก่อนจะพุ่งสูงถึง 2 ล้านคนในปี 2593 นั่นหมายความว่า ภายในเวลาเพียง 35 ปี จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ไม่ใช่เพียงปัญหาส่วนบุคคลอีกต่อไป หากแต่เป็นวิกฤติด้านสาธารณสุขและสังคม ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเฝ้าระวัง ดูแล และหาทางรับมืออย่างจริงจัง” รศ.นพ.สุขเจริญ กล่าว

รศ.นพ.สุขเจริญ ได้กล่าวถึงภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุว่า เมื่ออายุมากขึ้น ความจำย่อมถดถอยลงบ้างซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม ความจำที่สูญเสียมักเป็น ความจำใหม่ ในขณะที่ความจำเก่าหลายเรื่องยังคงจำได้ดี ภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มผู้ป่วย โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งทำให้สมองส่วนหน้าค่อย ๆ เสื่อมลง ส่งผลกระทบต่อการรู้คิดและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยอาการสำคัญที่มักพบ ได้แก่ 1.ความจำ ลืมสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่สามารถจดจำเรื่องใหม่ ๆ ได้ 2.สมาธิ  ลืมสิ่งที่กำลังจะทำในช่วงเวลาสั้น ๆ 3.พฤติกรรมและการจัดการอารมณ์ หงุดหงิดหรือโมโหง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

4.ภาษา พูดไม่ชัดเจน นึกคำไม่ออก ต้องอธิบายยืดยาว หรือใช้ไวยากรณ์ผิด ทำให้การสื่อสารติดขัด 5.ทิศทางและการรับรู้ หาของที่อยู่ตรงหน้าไม่เจอ สับสนเรื่องสถานที่หรือการรับรู้สิ่งรอบตัว และ6.การเข้าสังคม ขาดการยับยั้งชั่งใจ แสดงพฤติกรรมหรือนิสัยคล้ายเด็กเล็ก ในบางราย อาการอาจรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันที่เป็นขั้นตอนง่าย ๆ ได้ เช่น การใส่เสื้อผ้า แปรงฟัน หรือการออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เกิดจากความผิดปกติของโปรตีน Amyloid และ Tau ที่สะสมผิดปกติภายในเซลล์ประสาทสมอง ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในผู้ป่วยนี้โดยตรง

รศ.นพ.สุขเจริญ กล่าวต่อว่า มีปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ได้แก่ เพศหญิงที่มีโอกาสป่วยมากกว่าเพศชาย การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคสมองเสื่อมซึ่งเพิ่มความเสี่ยงทางพันธุกรรม และอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ในด้านการจัดการปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ เช่น การนอนหลับมีบทบาทสำคัญ งานวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุควรนอนกลางวันเพียง 30 นาที เพื่อช่วยให้สมองตื่นตัวและสดชื่น ควรนอนหลับอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะท่านอนตะแคง ซึ่งดีกว่านอนหงาย เนื่องจากระหว่างการนอนหลับ ระบบ glymphatic หรือเครือข่ายช่องว่างรอบหลอดเลือดสมองที่ทำงานร่วมกับเซลล์แอสโตรไซต์ (astrocyte) จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเพิ่มการไหลเวียนของน้ำไขสันหลัง (CSF) ผ่านช่องว่างรอบหลอดเลือด เพื่อชะล้างของเสียที่สะสม เช่น โปรตีนอะไมลอยด์ ออกจากสมองไปยังกระแสเลือด ดังนั้นการนอนในห้องมืดสนิทและปราศจากแสงรบกวนจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการนอนที่มีคุณภาพ

นอกจากนี้ สุขภาพช่องปากก็มีความเชื่อมโยงกับภาวะสมองเสื่อม หากสูญเสียฟันกรามหรือใช้งานน้อยลง อาจเพิ่มความเสี่ยง เนื่องจากการเคี้ยวด้วยฟันกรามช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองด้านความจำ อีกทั้งการสูญเสียการรับกลิ่นก็ยังเป็นสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมบางชนิด เช่น โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

“ในช่วงที่ผ่านมา มีกระแสบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ หากย้อนกลับไปเมื่อราว 2 ปีก่อน คงยังยืนยันได้ว่าการตรวจเลือดไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคนี้ได้ เนื่องจากการตรวจต้องอาศัยห้องปฏิบัติการขั้นสูง และโปรตีน Amyloid และ Tau ที่เป็นตัวบ่งชี้สำคัญนั้นปกติจะไม่ล้นออกมาในกระแสเลือด เพราะละลายน้ำได้น้อย จึงต้องอาศัยเทคนิคการตรวจที่มีความไวสูงมาก ปัจจุบันเทคโนโลยีการตรวจเลือดมีการพัฒนาอย่างก้าวหน้า ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ได้แล้ว แต่ยังคงมีโอกาสเกิดผลลบเทียมหรือบวกเทียม ดังนั้น หากผลตรวจเลือดบ่งชี้ความเสี่ยง ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจสมองเพิ่มเติมด้วยการเอกซเรย์ร่วมกับการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้สารไปจับกับโปรตีนและสร้างภาพที่ชัดเจนสำหรับการวินิจฉัยยืนยันว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือไม่” รศ.นพ.สุขเจริญ กล่าว

 กระบวนการลดกาสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์ในสมอง

สำหรับยารักษาโรคอัลไซเมอร์ รศ.นพ.สุขเจริญ กล่าวว่า ขณะนี้มียาใหม่สำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือด มีฤทธิ์ช่วยลดการสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์ในสมอง ทำให้เกิดความจำที่ดีขึ้น แต่ไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการเสื่อมของสมองได้ ผลข้างเคียงที่พบได้คือ ภาวะสมองบวมหรือเลือดออกในสมอง คิดเป็นสัดส่วนราว 10–30% ของผู้ใช้ยา โดยยาดังกล่าวต้องฉีดทุก 2 สัปดาห์ ต่อเนื่องเป็นเวลา 18 เดือน มีค่าใช้จ่ายอยู่ในหลักแสนบาทต่อคอร์ส และยังจำเป็นต้องใช้ต่อไปตลอดชีวิต ทั้งนี้คาดว่าจะมีการนำเข้ามาในประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า

อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.สุขเจริญ เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพตนเองอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารสมองและร่างกาย ดูแลจิตใจให้ห่างไกลจากความเครียดและภาวะซึมเศร้า ควบคุมโรคประจำตัว รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ทำกิจกรรมทางสังคม เช่น การพบปะเพื่อนฝูงหรือการท่องเที่ยว รวมถึงหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายและความจำอยู่เสมอ

โปรตีน Amyloid และ Tau

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กินเหล้าหัวราน้ำ! กระทบตับ ส่วนที่ป้องกันอัลไซเมอร์

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง ประธานศูนย์ความเป็นเลิศการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

'ยาแก้แพ้' ชนิดแรง ใช้นาน-บ่อย เสี่ยงสมองเสื่อม!

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง ประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

'หมอธีระวัฒน์' เตือนนอนน้อยเสี่ยงสมองเสื่อมเร็ว ชี้สาร 'เทา' พุ่งแม้แค่อดนอนคืนเดียว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เผยแพร่ข้อมูลการศึกษาชี้ชัด อดนอนเพียงคืนเดียวทำให้สาร “เทา” ในเลือดเพิ่มขึ้น เสี่ยงกระบวนการสมองเสื่อมเร็วกว่าปกติ พร้อมแนะเร่งปรับพฤติกรรม หันมากินผักผลไม้สูงฟลาโวนอยด์เพื่อปกป้องสมอง

เช็กเลย! อาหารอะไรบ้าง 'ช่วยชีวิต' หรือ 'ทำลายสุขภาพ'

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อาหารเพื่อตนเองและชีวิตอื่น

ญาติส่งร่าง 'ผกก.โจ้' ชันสูตรอีกรอบรพ.จุฬาฯ จี้ลงโทษผู้คุมทำร้ายร่างกาย

แม่-แฟนสาวนำร่าง "ผกก.โจ้"ชันสูตรที่นิติ รพ.จุฬาอีกครั้ง เผยเรือนจำไม่สามารถเชื่อถือได้หลังพบหลายประเด็นบิดเบือนข้อเท็จจริง ลั่นผู้คุมที่ทำร้ายร่างกายต้องถูกเอาผิดลงโทษด้วย

'หมอธีระวัฒน์' ไขข้อข้องใจน้ำคั่งในสมองผ่าแล้วดีจริงหรือ!

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต