เที่ยว'เทศกาลดิวารี 'สีสันแห่งแสงไฟ ที่พาหุรัด–คลองโอ่งอ่าง

สนุกสนานไปการแสดงกลองโธล( Dhol)

เป็นที่รู้กันว่า”ย่านพาหุรัด” เป็นถิ่นชุมชนใหญ่ของคนไทยเชื้อสายอินเดีย  จึงไม่แปลกที่ย่านนี้้จะมีกลิ่นอายและวัฒนธรรมอินเดียคละคลุ้งไปทั่ว ไม่ว่าอาหาร เครื่องดื่ม ดนตรี รี เครื่องแต่งกายเสื้อผ้าแบบอินเดีย  และหนึ่งในความเป็นวัฒนธรรมอินเดียนั้นก็คือ “เทศกาลดิวาลี” หรือ” เทศกาลแห่งแสงไฟ” ที่งดงามที่สุดนอกประเทศอินเดีย ที่มีขึ้นทุกปี ในปีนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ร่วมจัดงานในธีม “Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025” โดยงานมีขึ้น ณ คลองโอ่งอ่าง และ ย่านพาหุรัด  ในช่วงเทศกาลนี้บรรยากาศของทั้งสองย่านจะเต็มไปด้วยความสว่างไสว ครึกครื้น และอบอวลด้วยความสุข เปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้มีชีวิตชีวา

ก่อนจะไปพาไปสัมผัสบรรยากาศภายในงานมาทำความรู้จักกับเทศกาลดิวาลี หรือที่รู้จักกันในอีกหลายชื่อ เช่น ดีปาวลี, ทิวาลี, หรือ ทีปาวลี (Deepavali / Dipavali) ซึ่งมาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “แถวของตะเกียง” จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “เทศกาลแห่งแสงไฟ” การจุดประทีปหรือตะเกียงในช่วงเทศกาลนี้เป็นสัญลักษณ์ของแสงแห่งความดีงามที่ขับไล่ความมืดมนออกไป และสื่อถึงชัยชนะของความสว่างเหนือความมืด

การแสดงชุด ทิลลานา ภรตนาฏยัม

อย่างไรก็ตามประวัติความเป็นมาของ เทศกาลดิวาลี ที่ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย นครราชสีมา ได้ระบุไว้าว่า มีเรื่องเล่าหลากหลายตามแต่ละภูมิภาคของอินเดีย แต่เรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ชัยชนะของพระรามเหนือราวณะ (ทศกัณฐ์) ตามมหากาพย์ รามายณะ หลังจากพระราม นางสีดา และพระลักษมณะกลับสู่อโยธยา ชาวเมืองได้จัดงานเฉลิมฉลองด้วยการจุดประทีปและโคมไฟทั่วเมือง แสงไฟเหล่านี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความดีงามที่ชนะความมืด หรือธรรมะที่ชนะอธรรม

ดิวาลียังปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น จารึกแผ่นทองแดงของพระเจ้ากฤษณะที่ 3 ราชวงศ์รัชตระกุตา (พ.ศ. 1482–1510) ระบุคำว่า Dipotsava และ จารึกภาษาสันสกฤตที่วัด Ranganatha ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ระบุว่าเป็น “เทศกาลมงคลแห่งแสงซึ่งขจัดความมืดมนอนธการ เฉลิมฉลองโดยกษัตริย์ผู้รู้พระเวท ณ ที่แห่งพระวิษณุและพระลักษมีผู้สุกสกาว” แสดงให้เห็นว่าดิวาลีเป็นเทศกาลที่สืบทอดมานานหลายยุคหลายสมัย

การแสดงกลองโธล( Dhol)

โดยทั่วไป เทศกาลดิวาลีจะเฉลิมฉลองต่อเนื่อง 5 วัน ในเดือน กรรติกา (ประมาณเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน) แต่ละวันมีความหมายและพิธีกรรมแตกต่างกัน ดังนี้ 1.วันธนเตรส (Dhanteras) นแรม 13 ค่ำ วันเริ่มต้นเทศกาล ผู้คนจะทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้าน บูชา เทพธันวันตริ เทพเจ้าแห่งอายุรเวท ถือเป็นวันดีในการเริ่มสิ่งใหม่ ๆ ในอินเดียยังมีการประกาศวันนี้เป็น “วันอายุรเวทแห่งชาติ” อีกด้วย 2.วันนรกจตุรทศี (Naraka Chaturdashi) / โชติ ดิวาลี (Choti Diwali) วันแรม 14 ค่ำ ระลึกถึงชัยชนะของพระกฤษณะหรือพระแม่กาลีเหนือปีศาจนรกาสูร ผู้คนตื่นแต่เช้า อาบน้ำ เจิมหน้าผาก จุดพลุและทำพิธีบูชาเครื่องหอม มะพร้าว อาหาร 56 อย่าง ข้าวเม่า เนยกี และน้ำตาล บางพื้นที่ยังมีการทำหุ่นจำลองปีศาจและนำการแสดงกลองโธล( Dhol)มาเผาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ

3.วันทีปาวลี (Dipawali) / วันลักษมีบูชา (Lakshmi Puja)  วันแรม 15 ค่ำ วันสำคัญที่สุดของเทศกาล ทุกบ้านประดับไฟ ตกแต่ง รังโกลี (Rangoli) ต้อนรับพระแม่ลักษมี เทวีแห่งความมั่งคั่ง ผู้คนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ มอบของขวัญ เยี่ยมญาติ และร่วมเฉลิมฉลองด้วยกิจกรรมสนุกสนาน ผู้ที่บูชาพระแม่กาลีจะทำพิธีในเวลากลางคืนตั้งแต่ค่ำจนรุ่งสาง 4.วันโควรรธนะบูชา (Govardhan Puja) / วันบาลีประติปทา (Bali Pratipada) วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 12 ระลึกถึงวันที่พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะเพื่อปกป้องชาวบ้านจากฝนของพระอินทร์ หรือบางแห่งถือเป็นวันที่ท้าวบาลีเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ รวมถึงบูชา พราหมณ์วามนะ อวตารหนึ่งของพระวิษณุ และ5.วันยมทวีตียา (Yama Dwitiya) / ภาอีทูช (Bhai Duj) / วันวิศวกรรม (Vishwakarma Puja) วันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 วันสุดท้ายของเทศกาล เชื่อกันว่าพระยมมาเยี่ยมยมุนา (น้องสาว) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่-น้อง ในแถบโรงงานอุตสาหกรรมและงานช่าง จะบูชา พระวิศวกรรม และถือเป็นวันแห่งการสร้างและออกแบบ

รังโกลี ศิลปะพื้นบ้านของอินเดียแบบร่วมสมัย

“ดิวาลี “จึงถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวอินเดีย ไม่ว่าจะนับถือศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ หรือศาสนาเชน ต่างร่วมกันเฉลิมฉลองด้วยแสงไฟ ดนตรี ขนมหวาน และคำอวยพรแห่งความสุข ความรัก และความรุ่งเรือง กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นและความศรัทธา

ความงดงามของวัฒนธรรมอินเดียเปล่งประกายอยู่ที่คลองโอ่งอ่างและย่านพาหุรัดในยามเย็น เมื่อแสงแดดโรยราตกกระทบ ผู้คนเริ่มออกมาเฉลิมฉลองท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับจากเทียน โคมไฟ และการตกแต่งไฟที่ส่องประกายตลอดแนวคลองและตรอกซอยของพาหุรัด ภายในงานเต็มไปด้วยการประดับตกแต่งที่สะท้อนเอกลักษณ์ของอินเดีย เมื่อเดินเข้าสู่งาน หากสังเกตให้ดีจะพบกับ “รังโกลี” ศิลปะพื้นบ้านของอินเดีย ซึ่งเป็นการสร้างลวดลายหลากสีสันบนพื้น โดยปกติใช้วัสดุต่าง ๆ เช่น ทราย กลีบดอกไม้ แป้งข้าวเจ้า หรือถั่ว

ริมคลองโอ่งอ่างจุดเทียนรังโกลี ต้อนรับผู้มาเยือน

 แม้ภายในงานนี้แม้จะไม่ได้ใช้วัสดุแบบดั้งเดิม วิธีการผันเปลี่ยนไปตามยุคสมัยมาเป็นการเพ้นท์ลวดลายด้วยสีที่สวยงาม หรือการนำวัสดุมาตัดแต่งประดับด้วยดอกไม้ ซึ่งในเทศกาลดิวาลี ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากจะมีการจุดเทียนวางด้านในรังโกลีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับผู้มาเยือน

ในวันที่เราไป(16 ต.ค.) ได้สัมผัสกับการแสดงอินเดียที่คลองโอ่งอ่าง อย่าง การแสดงกลองโธล( Dhol)  เป็นกลองสองหน้าที่สำคัญในดนตรีพื้นบ้านของเอเชียใต้ โดยเฉพาะอินเดีย มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและปัจจุบันยังถูกนำมาผสมผสานกับดนตรีสมัยใหม่ เพิ่มมิติและเอกลักษณ์ให้เสียงเพลงมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

ประดับโคมไฟ คลองโอ่งอ่าง

สำหรับการแสดงกลองโธล ที่โชว์ในงานนี้มาจากคณะ ศิวะ มิวสิค ส่งเสียงดังกึกก้องดังไปทั่วงานด้วยจังหวะสนุกสนานทำให้รู้สึกอยากจะเต้นตามไปด้วย  ชายหญิงนักแสดงได้บินตรงจากอินเดียเพื่อมาร่วมสร้างสีสันทำให้การแสดงการเคลื่อนไหวของพวกเขาเต็มไปด้วยพลัง

สายตาหยุดอยู่ที่หญิงสาวอินเดีย ใบหน้าคมคาย สวมชุดสาหรีสีแดงสด ที่กำลังเต้นอย่างสนุกสนานกระโปรงพริ้วไหวตามการโยกสะโพก สีหน้ายิ้มแย้ม และรอยยิ้มที่ส่งต่อความสนุก การแสดงนี้เปรียบเหมือนการเชื้อเชิญให้ผู้ชม ออกมาเต้นร่วมกับศิลปิน ให้จังหวะกลองผสานกับการเคลื่อนไหวพาไปพบกับความสนุกร่วมกัน

อีกหนึ่งโชว์ที่งดงามคือ การแสดงชุด ทิลลานา ภรตนาฏยัม ศิลปะการร่ายรำคลาสสิกของอินเดียใต้ที่รวม อารมณ์ ดนตรี และจังหวะ เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ภรตนาฏยัม มีถิ่นกำเนิดในรัฐ ทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) และถือเป็นนาฏศิลป์เก่าแก่ที่สุดของอินเดีย ส่วน ทิลลานา เต็มไปด้วยพลัง ความเร็ว และความงดงามของจังหวะ ถ่ายทอด ความปีติ ความศรัทธา และความสมบูรณ์ของศิลปะ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปอยู่ในโลกของดนตรีและการร่ายรำอินเดียอย่างแท้จริง

ผู้ชมต่างตื่นตากับการแสดงทิลลานา ภรตนาฏยัม

ที่พิเศษคือ การแสดงทิลลานา ภรตนาฏยัม แต่เดิมมักจัดแสดงให้เฉพาะ นักบวชหรือชนชั้นสูงของอินเดียเท่านั้น แต่ศิลปะอันทรงคุณค่าถูกนำมาถ่ายทอดสู่ประเทศไทย และนักแสดงไทยที่ได้ทำการแสดงในงานนี้ยังได้ปรับให้ร่วมสมัย ผสมผสานกับความคลาสสิกดั้งเดิม ทำให้การแสดงออกมาได้งดงาม

เทศกาลแห่งแสงปีนี้ยังเต็มไปด้วย ศิลปะแห่งชีวิต ผ่าน Art Wall และ Art Street รวมทั้งหมด 8 จุด โดยได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) ภายในงานมีกิจกรรมสาธิตศิลปะและวัฒนธรรมไทย–อินเดียหลากหลาย เช่น การเพ้นท์เฮนน่า เพ้นท์โคมไฟ ร้อยลูกปัด พัดสาน และร้านจำหน่ายอาหารและสินค้าสไตล์อินเดีย นอกจากนี้ยังมี พิธีบูชาพระแม่ลักษมีและพระพิฆเนศ เพื่อเสริมความสำเร็จและโชคลาภ เติมเต็มบรรยากาศแห่งความเป็นสิริมงคลให้กับผู้เข้าร่วมงาน ทำให้ทุกก้าวใน Art Street เปี่ยมไปด้วยสีสัน ศิลปะ และพลังแห่งแสงไฟ

ประดับตรอกเชื่อมระหว่างพะหุรัดและคลองโอ่งอ่าง

ไปร่วมเฉลิมฉลอง เทศกาลดิวาลี ที่งาน Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025 ตั้งแต่วันนี้–31 ตุลาคม 2568 ณ คลองโอ่งอ่าง และ ย่านพาหุรัด โดยบนถนนพาหุรัด (16–31 ต.ค.) ถนนจะสว่างไสวด้วย ไฟประดับและเทคโนโลยีสื่อผสมสุดล้ำ เวลา 16.00–22.00 น. ระหว่างวันที่ 18–20 ต.ค. ชม การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย–อินเดียวันละ 4 รอบ เช่น ระบำโคมอัจจะกัป ระบำโคมบัว นาฏศิลป์ร่วมสมัย และเต้น Bollywood วันที่ 19 ต.ค. พิธีเปิดงานสุดยิ่งใหญ่ กับขบวน Happiness Troop พระแม่ลักษมี พระพิฆเนศ และขบวนแห่ Bollywood ต่อด้วยมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ส่วนคลองโอ่งอ่าง แสงไฟหลากสีสะท้อนผืนน้ำ งดงามด้วย รังโกลีและตะเกียง Diyas พร้อมชมการแสดงบนเวทีย่อยริมคลอง 16–20 ต.ค. เวลา 16.00–22.00 น.

ภาพวาดบอกเล่าชุมขนอินเดียย่านพะหุรัด-คลองโอ่งอ่าง
การแสดงกลองโธล( Dhol) สุดสนุก
ภาพวาดสะท้อนวิภีชาวอินเดียที่ย่านพะหุรัด
บอกเล่าย่านพะหุรัดถิ่นชาวอินเดีย
นิทรรศการภาพถ่ายสะวิถีชาวอินเดีย
บรรยากาศความงดงามของภาพวาดในชุมชนพะหุรัด
ขนมอินเดีย 


เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' ล่องเรือไฟฟ้า ชมคลองบางลำพู เจอชาวบ้านตะโกนทวงเงินหมื่น

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมพื้นที่คลองบางลำพู เพื่อดูแผนพัฒนาการท่องเที่ยวที่มีเส้นทางเชื่อมโยงกับคลองโอ่งอ่าง บริเวณสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้การต้อนรับ

รทสช.ปลื้มรัฐบาลปลุกผีคลองโอ่งอ่างอีกรอบ!

'เกรียงยศ สุดลาภา' ขอบคุณนายกฯ ปลุกย่านคลองโอ่งอ่างดึงเสน่ห์ "ลิตเติ้ลอินเดีย" ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังถูกปล่อยทิ้งร้างมานาน แนะต้องนำสินค้าในชุมชนที่แท้จริงมาเป็นจุดขาย