
มีความพยายามหลายประการ จากหลายประเทศ ที่จะชะลอภาวะโลกร้อน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป หรืออียู ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มาก จึงเป็นที่มาอียู ที่ได้ปรับใช้กฎระเบียบห่วงโซ่อุปทานสินค้าปลอดการทำลายป่า(กฎระเบียบของสหภาพยุโรปว่าด้วยสินค้าปลอดการทำลายป่า (European Union Deforestation Regulation หรือ EUDR)) ในเดือนมิถุนายนปี พ.ศ. 2566
เป้าหมายหลักของการเกิดกฎระเบียบนี้ คือ อียูมองว่าโลกทุกวันนี้ มีการขยายตัวของการทำลายป่าและทำให้ป้าเสื่อมโทรมเพื่อผลิตสินค้า เช่น ถั่วเหลือง วัว น้ำมันปาล์ม ไม้โกโก้ กาแฟ ยางพารา และผลิตภัณฑ์บางประเภทที่ผลิตจากสินค้าดังกล่าวเช่น ผลิตภัณฑ์หนัง ช็อกโกแลต ยาง หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ อียูจึงต้องแสดงความรับผิดชอบในฐานะเป็นตลาดผู้บริโภคหลักของสินค้าเหล่านี้และต้องการเป็นผู้นำในการแก้ปัญหานี้
อียูมองอีกว่า การทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรมเป็นสาเหตุหลักสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 23% มาจากภาคเกษตรกรรม การทำป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบอื่น ๆด้วยการรณรงค์สินค้าปลอดการทำลายป่า เพื่อการลดผลกระทบจากการทำลายป่า และการทำให้ป่าเสื่อมโทรมทั่วโลกของสหภาพยุโรป คาดว่ากฎระเบียบใหม่นี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพได้

ทำไม…จึงต้องออกกฎระเบียบใหม่ ? เป็นประเด็นที่หลายคนอาจสงสัย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ อียูมีกฎระเบียบเดิมของสหภาพยุโรปว่าด้วยการทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรมที่มีอยู่เดิมอยู่แล้ว แต่อียูประเมินว่ากฎระเบียบที่มีอยู่ ยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมผลที่เกิดจากการค้าไม้ซุง ที่สำคัญ ไม่สามารถแก้ปัญหาการทำลายป่าไม้ได้ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องมีกฎระเบียบควบคุมการค้าไม้ของสหภาพยุโรป (EU TimberRegulation: EUTR) เข้ามาแทนที่
โดยกฎระเบียบว่าด้วยการทำลายป่าที่ได้รวบรวมบทเรียนต่าง ๆ ไว้ และมีการปรับปรุงกรอบการทำงานที่กำหนดโดยกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน กฎระเบียบนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่กำหนดโดยคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการสื่อสารว่าด้วยการยกระดับแผนปฏิบัติการของสหภาพยุโรปเพื่อปกป้องและฟื้นฟูป่าไม้ของโลก พ.ศ. 2562 และได้รับการยืนยันในแผนการปฏิรูปสีเขียว (European Green Deal), แผนยุทธศาสตร์ป่าไม้แห่งสหภาพยุโรป (EU Forest Strategy), แผนยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งสหภาพยุโรป (EU Biodiversity Strategy) สำหรับปี พ.ศ. 2575 และ แผนยุทธศาสตร์จากฟาร์มถึงส้อม (Farm to Fork)
องค์ประกอบสำคัญและเป้าหมายของกฎระเบียบใหม่ของอียูนั้นก็ คือ เพื่อรับรองว่าสินค้าที่สหภาพยุโรปซื้อ ใช้และบริโภคหรือส่งออกต้องไม่สนับสนุนการทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรม ในสหภาพยุโรปและทั่วโลกเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนที่มาจากการบริโภคและการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องของสหภาพยุโรปอย่างน้อย 32 ล้านเมตริกตันต่อปีเพื่อจัดการกับปัญหาการทำลายป่าจากการขยายพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตรในขอบเขตของกฎระเบียบและการทำให้ป่าเสื่อมโทรม ตลอดจนส่งเสริมห่วงโซ่อปทานที่ปลอดการทำลายป่า

กฎระเบียบใหม่นี้ มีผลบังคับใช้กับการวางขายและการจำหน่ายสินค้าในตลาดสหภาพยุโรปตลอดจนการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องจากสหภาพยุโรปที่ประกอบหรือถูกป้อน หรือผลิตจากรายการสินค้าโภคภัณฑ์ได้แก่ วัว โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้ กฎระเบียบดังกล่าวไม่มีผลต่อสินค้า ก่อนวันที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2566
สินค้าปลอดการทำลายป่า จะต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับว่า ไม่ได้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากการทำลายป่าหรือเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดป้าเสื่อมโทรม ซึ่งที่ผ่านมาการทำให้ป่าเสื่อมโทร หมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงผืนป่าในรูปแบบของป่าปฐมภูมิหรือป่าที่เกิดใหม่ตามธรรมชาติ ถูกแปลงสภาพไปเป็นสวนป่าหรือป่าในรูปแบบอื่น ๆ(other wooded land)ป่าปฐมภูมิถูกแปลงเป็นป่าปลูก
การตรวจสอบย้อนกลับคือ การสอบย้อนกลับไปยังที่ดิน (เช่น ข้อกำหนดให้เก็บพิกัดทางภูมิศาสตร์ของที่ดินที่ใช้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะแสดงหลักฐานว่าในสถานที่นั้นปลอดการทำลายป่า รายงานการตรวจสอบสถานะสินค้าที่ผู้ประกอบการและผู้ค้ารายใหญ่พึงนำส่งเข้าระบบสารสนเทศก่อนวางจำหน่ายสินค้าในสหภาพยุโรปหรือส่งออก ต้องระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์ ผู้ประกอบการและผู้ค้ารายใหญ่ต้องนำส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเข้าระบบที่ไม่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลขอของประเทศที่สาม
การเก็บรวบรวมพิกัดทางภูมิศาสตร์ของที่ดิน ประเทศผู้ผลิตสามารกกระทำผ่านโทรศัพท์มือถือและแอปพลิเคชันฟรี ที่เป็นที่นิยม(เช่น ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์(Geographic Information System: GIS))สำหรับที่ดินที่ใช้ในการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์นอกเหนือจากปศุสัตว์ที่มีขนาดมากกว่า 25 ไร่* ต้องส่งพิกัดทางภูมิศาสตร์โดยใช้โพลีกอนกล่าวคือ ใช้ตำแหน่งละติฉูดและละลองจิดหกหลักเพื่อระบุขอบเขตที่ดินสำหรับที่ดินที่มีขนาดน้อยกว่า 25 ไร่* ผู้ประกอบการ (และผู้ค้ารายใหญ่)สามารถนำส่งข้อมูลโดยใช้โพลีกอนหรือพิกัดแบบจุดเดี่ยว (single poim)ของตำแหน่งละดีจดและลองจีจูดหกหลักได้ สำหรับพื้นพื้นที่เลี้ยงปศุสัตว์สามารถระบุพิกัดภูมิศาสตร์ด้วยพิกัดภูมิศาสตร์แบบจุดเดี๋ยว* 25 ไร่ = 4 เฮกตาร์
คณะกรรมการฯอียู ยังจัดกลุ่มประเทศหรือพื้นที่ด้วยระบบการเปรียบเทียบซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท(ความเสี่ยงสูง ปานกลาง ต่ำ)) ตามระดับความเสี่ยงของแต่ละประเทศผู้ผลิตสินค้าโกคภัณฑ์ที่ไม่อยู่ในกลุ่มปลอดการทำลายป่า

“ความเสี่ยงสูง” คือ ประเทศที่ผลการประเมินระบุว่ามีความเสี่ยงสูงที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดการปลอดการทำลายป้าในการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง”ความเสี่ยงต่ำ” คือ ประเทศที่ผลการประเมินระบุว่าความเสี่ยงที่การผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจะละเมิดข้อกำหนดการปลอดการทำลายป่านั้นมีน้อยและ”ความเสี่ยงปานกลาง” คือ ประเทศที่ไม่เข้าข่ายประเภท”ความเสี่ยงสูง” หรือ “ความเสี่ยงต่ำ”
ในแง่การปฎิบัติ ของผู้ประกอบการและผู้ค้า คือ ผู้ประกอบการและผู้ค้าจะต้องไม่นำสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมาวางจำหน่ายในสหภาพยุโรป หรือส่งออกเว้นแต่ตรงตามเงื่อนไขทุกข้อดังนี้เป็นสินค้าปลอดการทำลายป่าเป็นสินค้าที่ผลิตตามกฎหมายที่ใช้บังคับในประเทศแหล่งผลิต นอกจากนี้ ยังมีรายงานการตรวจสอบสถานะสินค้า (Due diligence statement)ก่อนวางจำหน่ายสินค้าในตลาดหรือส่งออก ผู้ประกอบการและผู้ค้าต้องทำการตรวจสอบสถานะสินค้าตามมาตรา 8 เพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมีความเสี่ยงต่อการไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ในระดับที่น้อย (negligible risk) ผู้ประกอบการ คือ บริษัทที่วางจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องในตลาดสหภาพยุโรปเป็นครั้งแรก หรือส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องจากสหภาพยุโรป
สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการในการตรวจสอบสถานะสินค้าการตรวจสอบสถานะสินค้า หมายถึง การรวบรวมข้อมูล การประเมินความเสี่ยงและมาตรการลดความเสี่ยง การตรวจสอบสถานะสินค้าไม่ใช่แค่การตอบคำถามในแบบฟอร์มแต่เป็นการประเมินความเสี่ยง และการลดความเสี่ยงนั้นเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการซึ่งจะต้องกระทำโดยอาศัยข้อมูลและเอกสารที่รวบรวมมาได้ การตรวจสอบสถานะสินค้าเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการและผู้ค้ารายใหญ่ (non-SME trader) ต้องดำเนินการสิ่งสำคัญที่สุด คือ ข้อมูลที่รวบรวมมาได้ต้องระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของที่ดินที่ใช้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หรือใช้ใช้ในการผลิตสินค้า

รวมถึงวันที่หรือช่วงเวลาของการผลิตเพื่อให้สามารถทำการตรวจสอบย้อนกลับถึงความเชื่อมโยงของสินค้าโภคภัณฑ์กับที่ดินที่ใช้ในการผลิตอย่างเข้มงวด สำหรับการประเมินความเสี่ยงนั้น ผู้ประกอบการต้องประเมินความเสี่ยงสินค้าที่มีความเสียงน้อยมากที่จะไม่เป็นไปตามข้อกำหนด อาจปะปนอยู่กับสินค้าที่เกี่ยวข้องที่ไม่ทราบแหล่งกำเนิดหรือผลิตในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการทำลายป้าและการทำให้ป้าเสื่อมโทรมผู้ประกอบการต้องทบทวนระบบการตรวจสอบสถานะสินค้า ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันและรายงานต่อสาธารณะทุกปี
ผู้ประกอบการและผู้ค้ารายใหญ่ ต้องส่งรายงานการตรวจสอบสถานะสินค้าตามรายการที่กำหนดในภาคผนวก 2 ของกฎระเบียบสหภาพยุโรปว่าด้วยสินค้าปลอดการทำลายป่า (EUDR)ผ่านระบบสารสนเทศ (Information System) ซึ่งเป็นแหล่งเก็บรวบรวมรายงานการตรวจสอบสถานะสินค้า โดยเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการตรวจสอบสถานะสินค้า
ส่วนกษตรกรรายย่อยและบริษัทในประเทศที่สามที่ไม่ได้วางจำหน่ายสินค้าเหล่านี้ในสหภาพยุโรปไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบนี้โดยตรง อย่างไรก็ตาม คู่ค้า เช่น ผู้ซื้อ EUDR อาจขอให้ส่งข้อมูลการผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับที่ดินที่ใช้ในการผลิตคู่ค้าต้องการข้อมูลนี้เพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันทางกฎหมายของตน สามารถและเกษตรกรรายย่อย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎระเบียบ EบDR และเกษตรกรรายย่อยได้ในเอกสารข้อมูลสำคัญ
การดำเนินตามกฎระเบียบใหม่ จะเป็นหน้าที่ของสหภาพยุโรปและประเทศสมาชิก รวมทั้ง หน่วยงานที่มีอำนาจ (Competent Authorities) ที่เที่ยวข้อของประเทศสมาชิก ต้องทำหน้าตรวจสอบผู้ประกอบการและผู้ค้า (บาตรา 16 และ 18)และต้องมีบทลงโทษที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสม และห้ามปราม (มาตรา 25) การตรวจสอบของหน่วยงานที่มีอำนาจในพื้นที่จะที่จะทำให้ผู้ประกอบการและผู้ค้าในสหภาพยุโรปปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้

ในการทำงาน หน่วยงานที่มีอำนาจของประเทศสมาชิกอียู จะประสานขานรับกันภายในประเทศตนเองและในหมู่ประเทศสมาชิก ตลอดจนคณะกรรมาธิการสหภาพยูโรป และถ้าจำเป็นก็อาจจะมีการประสานกับหน่วยงานเพื่อร้องขอของประเทศที่สามด้วย เพื่อให้มันใจว่าได้ปฏิบัติดามกฎระเบียบ EUDRประเทศสมาชิกจะต้องรายงานข้อมูลการบังคับใช้กฎระเบียบตามรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา ต่อสาธารณะและคณะกรรมาธิกาธิการผู้โรปภายในวันที่ 30 เมษายนของทุกปี
กฎระเบียบนี้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน.ศ. 2566ซึ่งได้กำหนดช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านไว้ด้วย มาตราหลักว่าด้วยหน้าที่ของผู้ประกอบการและผู้ค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่และหน้าที่กำกับดูแลของประเทศสมาชิกจะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568 และวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2569สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อยของสหภาพยุโรปประเทศสมาชิกจะต้องจัดตั้งหน่วยงานที่มีอำนาจ และนำส่งพิกัดของตนไปยังคณะกรรมาธิการยุโรป ภายในวันที่ 30 ธันวาคมพ.ศ. 2566 อย่างช้าสุด และหน่วยงานที่มีอำนาจสามารถให้ความช่วยเหลือ และคำแนะนำแก่ผู้ประกอบการได้ภายในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567 คณะกรรมาธิการยุโรปจะจัดทำและดูแลระบบสารสนเทศสำหรับจัดเก็บรายงานการตรวจสอบสถานะสินค้า ทะเบียนผู้ประกอบการและผู้ค้าที่เกี่ยวข้องตัวแทนของบุคคลเหล่านั้นในสหภาพยุโรปตลอดจนข้อมูลอื่น ๆโดยคณะกรรมการฯ จะอนุญาตให้หน่วยงานศุลกากร หน่วยงานที่มีอำนาจ ผู้ประกอบการ ผู้ค้า และตัวแทนที่ได้รับอนุญาตเข้าถึงระบบสารสนเทศดังกล่าวได้
จากความเคลื่อนไหวขับเคลื่อน กฏระเบียบของสหภาพยุโรปว่าด้วยสินค้าปลอดการทำลายป่า (EU Deforestation Regulation – EUDR)ดังกล่าว ทำให้ล่าสุด สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ร่วมกับ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จัดการประชุม “การเตรียมความพร้อมประเทศไทยต่อกฎระเบียบของสหภาพยุโรปด้านการตรวจสอบสถานะของห่วงโซ่อุปทาน” ภายใต้โครงการ “Enhancing Readiness of Thailand towards the EU Sustainable Trade Schemes” เพื่อเตรียมความพร้อมภาคเกษตรไทยให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านความยั่งยืนที่สำคัญของสหภาพยุโรปและเยอรมนี EUDR, คำสั่งการตรวจสอบความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Due Diligence Directive – CSDDD), และ พระราชบัญญัติการตรวจสอบสถานะห่วงโซ่อุปทานของเยอรมนี (LkSG) ทั้งนี้เพื่อนำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้น และระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อกำหนดแนวทางการปรับตัว

ในการนี้ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มของการค้าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” เป็นหัวใจของระบบการผลิต การค้า และการบริโภค กฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป จึงเป็นทั้ง “ความท้าทาย” ในการปรับตัวของภาครัฐและภาคเอกชน และเป็น “โอกาสสำคัญ” ที่ประเทศไทยจะได้ยกระดับระบบการผลิต การตรวจสอบย้อนกลับทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสิทธิมนุษยชน และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล
ขณะที่ Mr. Julian Tost, Deputy Cluster Coordinator and Project Director of AgriCRF Project, GIZ Thailand กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “FIT for FAIR” (Supporting the Operationalisation of Corporate Sustainability Due Diligence in Agricultural Supply Chains) ซึ่ง GIZ ได้ดำเนินการเพื่อช่วยประเทศคู่ค้าของสหภาพยุโรปในการสร้างพัฒนานโยบายที่เอื้อต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานเกษตร โดยเฉพาะสินค้าสำคัญ เช่น ไม้ ปาล์มน้ำมันและยางพารา ให้สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence) ของสหภาพยุโรปได้

การประชุมในครั้งนี้ได้รับความสนใจและการตอบรับจากผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 100 คน โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเข้ามาร่วมให้ความรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านกฎระเบียบของ EU ได้แก่ Mr. Michael Bucki, Counsellor for Green Transition, Delegation of the European Union to Thailand และ Dr. Inti Schubert, Senior Advisor, Fit for Fair Project, GIZ Germany
ภายในงานได้มีการนำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นของโครงการและจัดกิจกรรมกลุ่มเพื่อรวบรวมข้อคิดเห็น โดยแบ่งตามหมวดสินค้าเกษตรสามอันดับแรกที่ประเทศไทยส่งออกไปยัง EU ได้แก่ กลุ่มไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง และ กลุ่มปาล์มน้ำมัน พร้อมทั้งกลุ่มภาคสนับสนุน ได้แก่ กลุ่มการตรวจสอบสถานะด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มการตรวจสอบสถานะด้านสิทธิมนุษยชน และ กลุ่มห่วงโซ่อุปทานและการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งทุกกลุ่มได้มีการให้ความเห็นอย่างเข้มข้นเพื่อเติมเต็มผลการศึกษาของโครงการ และรวบรวมข้อท้าทายในการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของ EU

ทั้งนี้ ดร.จีรนุช ศักดิ์คำดวง ผู้เชี่ยวชาญและหัวหน้าโครงการ จากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวสรุปว่า ทางโครงการจะนำความคิดเห็นที่ได้จากกิจกรรมในครั้งนี้ รวบรวมเป็นข้อมูลตั้งต้น โดยในขั้นตอนต่อไป โครงการจะมีการตั้งคณะทำงาน เพื่อร่วมกันให้ความคิดเห็นต่อประเด็นความท้าทายเหล่านี้ในเชิงลึก และนำมาพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ที่จะช่วยเอื้อให้ภาคเอกชนไทย สามารถปรับตัว และดำเนินการตามข้อกำหนดของ EU และสามารถรักษาไว้ซึ่งตลาดการค้า และยกระดับมาตรฐานการผลิตของประเทศต่อไป.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กษ. โชว์บทบาทภาคเกษตรไทย ในเวทีเอเปค 2025 ชู นวัตกรรม-AI หัวใจสำคัญขับเคลื่อนความมั่นคงอาหาร เสริมศักยภาพเกษตรกร
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จุฬาฯ ยกพื้นที่สยามสแควร์ให้เกษตรกรไทยขายสินค้าเกษตรคุณภาพ ส่งตรงจากฟาร์มไกลสู่ใจกลางเมือง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ชุมนุม SIFE คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ร่วมสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยเปิดพื้นที่
ปลื้ม EU ยกไทย 'เสี่ยงต่ำ' ตัดไม้ทำลายป่า เปิดทางส่งออก 7 สินค้าหลักง่ายขึ้น
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้ประกาศรายชื่อประเทศที่ถูกจัดในระบบ Benchmarking ซึ่งเป็นการประกาศรายชื่อประเทศตามระดับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
”รมว.นฤมล“แจ้งข่าวดี กระทรวงเกษตรฯ เจรจาเปิดตลาดส่งออกเนื้อไก่-เป็ดดิบ ไปขายฟิลิปปินส์สำเร็จเป็นครั้งแรก มั่นใจ จะเพิ่มโอกาสส่งออกให้เกษตรกรไทย
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหัวหน้าพรรคกล้าธรรม(กธ.)เปิดเผยว่า จากเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้ร่วมหารือกับ
สศก.เผย เกษตรกรไทย ถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดิน เฉลี่ยครัวเรือนละ 24.97 ไร่
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและแรงงานเกษตรของไทย โดยการถือครองและการใช้ประโยชน์ที่ดินของครัวเรือนเกษตร ปีเพาะปลูก 2566 พบว่า ครัวเรือนเกษตรของประเทศไทย มีที่ดินถือครองเฉลี่ย 24.97 ไร่ต่อครัวเรือน

