
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงผลการสำรวจครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 ในหัวข้อ “สถานการณ์โรค NCDs ของไทย แนวโน้มและข้อเสนอเชิงนโยบาย” ภายใต้การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey : NHES)
รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 กล่าวว่า การสำรวจนี้ต่างจากการสำรวจโดยทั่วไปเพราะจะมีการตรวจร่างกายและตรวจเลือดของกลุ่มตัวอย่างด้วย ทำให้ผลสำรวจมีความน่าเชื่อถือกว่าข้อมูลจากการบอกเล่าเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นการสุ่มประชากรรายบุคคลไม่ใช่การรับสมัครผู้เข้าร่วม มีการกำหนดพื้นที่ ช่วงอายุที่ต่างกัน เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสำรวจที่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งประเทศ ผู้ที่ถูกสุ่มให้เข้าร่วมโครงการยังได้รับทราบถึงสุขภาพของตัวเอง โดยผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งนี้ พบว่า คนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน หรือกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ จะมีแนวโน้มป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกลุ่มวัยต่ำกว่า 40 ปี
“อย่างกรณีโรคเบาหวานที่มักไม่ค่อยพบในคนอายุน้อย ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เลยจะป่วยเบาหวานเพียง 0.3% แต่หากสูบบุหรี่ อ้วน มีไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง จะเสี่ยงเป็นเบาหวานสูงถึง 45.2% และที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือมีกิจกรรมทางกายต่ำ พบว่าในกลุ่มคนอายุน้อยมีแนวโน้มเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูงกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี เพิ่มสูงขึ้น แต่ในผู้สูงอายุพบว่ามีแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชน โดยพบว่า 70% ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในไทยอายุต่ำกว่า 30 ปี”
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า การสำรวจแต่ละครั้งเราต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงควรต้องมีการนำไปใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด หน่วยงานด้านสุขภาพ สมาคมแพทย์โรคที่เกี่ยวกับ NCDs ควรจะได้นำข้อมูลที่ได้นี้ไปใช้เพื่อวางแนวทางในการแก้ปัญหา เพราะ NCDs ไม่ใช่เป็นหน้าที่เฉพาะของกระทรวงสาธารณสุข หรือ สสส. ตามที่มีหลายฝ่ายเข้าใจ แต่ต้องมีการดำเนินการของกระทรวงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มาตรการทางภาษี การบังคับใช้กฎหมายและควบคุมการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ การจัดการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมดี ลดพฤติกรรมเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องบุหรี่แม้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมยาสูบจังหวัดที่ประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา แต่กลับพบว่ามีเพียง 20 จังหวัดจากทั้งหมดทั่วประเทศเท่านั้นที่มีการประชุมในปีที่ผ่านมา แล้วมาตรการควบคุมยาสูบจะดำเนินตามแผนได้อย่างไร

“วิกฤตค่าใช้จ่ายการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในกลุ่ม NCDs และจะมีแต่ทวีความรุนแรงขึ้น หากนโยบายสาธารณะไม่เคลื่อน ไม่ว่า สสส.จะรณรงค์ให้ความรู้อย่างไรก็คงจะไม่เป็นผล หากถามว่าการจัดการ NCDs ของไทยยังไม่ได้ผลเกิดจากอะไร ตอบได้เลยว่า เป็นความล้มเหลวของนโยบายสาธารณะ ดังนั้นจะต้องมีทั้งกฎหมาย นโยบายด้านภาษี และการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะอย่างแท้จริง เพราะถ้านโยบายสาธารณะล้มเหลว ทุกอย่างก็จะล้มเหลวหมด ทั้งเรื่องบุหรี่ ภาษีน้ำตาล ภาษีเกลือ ดังนั้นผลสำรวจจะต้องส่งต่อไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป”
ขณะที่ รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อฯ กล่าวว่า ผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยฯ ครั้งที่ 7 นี้ จะเห็นได้ว่าสำหรับเป้าหมายแรกที่กำหนดว่าประชากรในประเทศจะต้องรับรู้ว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวานอย่างน้อยร้อยละ 80 อาจจะไม่เป็นปัญหา เพราะปัจจุบันทำได้ร้อยละ 73 แต่ที่เป็นปัญหาคือผู้ป่วยเบาหวานจะต้องสามารถควบคุมโรคให้ได้ร้อยละ 80 ด้วย ขณะที่ผลสำรวจครั้งนี้พบว่าผู้ป่วยเบาหวานชาวไทยนั้นควบคุมโรคได้ดียังไม่ถึงร้อยละ 40
“การสื่อสารข้อมูลจากการสำรวจฯ ให้เข้าใจง่ายสำหรับประชาชนแต่ละกลุ่ม มีความสำคัญ เพราะปัจจุบันยังมีการให้ข้อมูลผิด ๆ โดยอินฟลูเอนเซอร์ทั้งที่เป็นแพทย์และไม่ใช่แพทย์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งควรจะมีการควบคุมอย่างจริงจังเหมือนเช่นประเทศจีนที่เริ่มดำเนินการแล้ว กระแสสังคมเองก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างช่วงลอยกระทงที่ผ่านมา ริมแม่น้ำเจ้าพระยากลับเงียบเหงา แต่ทุกคนกลับไปรวมตัวกันอยู่ที่งานลอยกระทงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งคนที่ไปร่วมงานก็ไม่ได้แสดงออกถึงประเพณีแต่กลับเน้นไปที่การรับประทานอาหารและขนมที่มาครบทั้งหวาน เผ็ด มัน เค็ม คนที่บริโภคส่วนใหญ่ก็คือกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งตรงกับผลสำรวจที่พบว่ามีภาวะโรคอ้วนและเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการใช้โซเชียลมีเดียในการกระตุ้นให้เกิดกระแสตอบรับ ทั้งอินฟลูเอนเซอร์และผู้ผลิตจึงควรตระหนักถึงผลที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพของผู้บริโภค”

ด้าน นพ.กฤษดา หาญบรรเจิด ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ผู้ป่วยกลุ่ม NCDs ที่เป็นผู้สูงอายุ แต่เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่ยังไม่เข้าถึง กระทรวงสาธารณสุขมีแนวนโยบายในการเพิ่มการให้บริการช่วงนอกเวลา เพื่อเพิ่มความสะดวก ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการรณรงค์ในเรื่องอาหารปลอดภัยที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าแนวทางนี้ไม่ได้มีความแข็งแกร่งในทุกจังหวัด แต่ในส่วนของโรงเรียนทางกรมอนามัยดูแลเด็กได้ดีอยู่แล้ว
พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย เสริมว่า การดูแลผู้ป่วยกลุ่ม NCDs ไม่ใช่แค่เรื่องยาแต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นอกจากการตรวจของหมอแล้วจึงต้องมีสหวิชาชีพมาร่วมด้วยทั้งพยาบาล และนักกำหนดอาหาร นอกจากนี้ยังมีการอบรบหลักสูตรเพิ่มเติมให้กับนักเรียนแพทย์เพื่อรับมือกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมไปถึงการอบรม อสม.เพื่อลงไปดูแลในระดับชุมชนอย่างใกล้ชิดด้วย
“อย่างที่เห็นจากผลการสำรวจว่ากลุ่มเด็กมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ผู้ป่วย NCDs เพิ่มมากขึ้น กรมอนามัยเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่เด็กแรกเกิดที่รณรงค์ให้ดื่มนมแม่ ที่มีผลการวิจัยแล้วว่าช่วยลดภาวะ NCDs ได้ ต่อด้วยนโยบายโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพที่จะปลูกฝังพฤติกรรมการบริโภคให้กับเด็ก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ในโรงเรียน แต่จะเชื่อมไปที่บ้าน ในชุมชน พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็จะต้องมีความรู้ในการดูแลตัวเองและบุตรหลานด้วย”
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการ สช. กล่าวว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะนำเสนอผลการสำรวจฯ นี้ให้ประชาชนตระหนักถึงโรค NCDs เพราะวิวาทะเรื่องโรงพยาบาลขาดทุน สปสช.ค้างจ่าย จ่ายไม่ครบ หรือจ่ายช้า ระบบสุขภาพกำลังจะล่ม ข้อมูลจากการสำรวจครั้งนี้สามารถนำไปโยงกับข้อมูลในพื้นที่และเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้เป็นหลักในการแก้ปัญหาสุขภาพแบบเชิงรุกโดยชุมชน นำเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาใช้เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หากหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพจะทำให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น แต่หากไม่ทำเงินในกระเป๋าก็จะหายไปกับการรักษาพยาบาล
“สิงคโปร์เองมีนโยบายเรื่องโรคเบาหวานเป็นวาระแห่งชาติที่ทำต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้ มันไม่มีทางรอดนะ ถ้าเราจะฉายแสงกันทุกจังหวัด เราจะล้างไตกันทุกอำเภอ เรื่องสุขภาพดีมีเงินเหลือผมเคยทำมาก่อนแล้วเมื่อสมัยที่อยู่โรงพยาบาลเทิง ให้เจ้าหน้าที่เก็บเงินคนละ 10 บาท ที่เคยจ่ายเป็นค่าเหล้า ค่าบุหรี่ เปลี่ยนมาเป็นเงินออม ทุกคนก็จะมีเงินเหลือและมีสุขภาพดีด้วย ซึ่งสามารถปรับขึ้นไปใช้ในระดับชาติได้ด้วย คนที่ไม่ป่วยต้องมีตังค์”
ขณะที่องค์การอนามัยโลกมีแนวทาง NCDs Best Buys ที่กำหนดมาตรฐานและรูปแบบการดำเนินงานในการจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรค NCDs เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับนานาประเทศในการต่อสู้กับ NCDs

ดร.สุชีรา บรรลือศิลป์ WHO Thailand กล่าวว่า ความสูญเสียที่เกิดจาก NCDs มากถึงประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท ไม่ใช่แค่ในเรื่องของสุขภาพ แต่รวมถึงการเสียชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากร ซึ่งส่งผลถึงการสูญเสียประสิทธิภาพของประเทศ NCDs จึงไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่อยงานหนึ่ง แต่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันแก้ปัญหา
“ยกตัวอย่างให้เห็นภาพภาพอย่างตอนที่เรามีโควิด แล้วมองว่าเป็นปัญหาของประเทศให้มีการจัดตั้งวอร์รูมระดับประเทศ มีการออกนโยบาย ทุก ๆ กระทรวงจริงจังในการออกมาตรการแล้วก็ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ซึ่งถ้า NCDs เป็นรูปแบบนั้นได้ก็น่าจะเป็นอีกทางออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเอกชนที่เป็นผู้ผลิตที่อยากให้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะการป้องกันตั้งแต่ยังไม่เกิดคุ้มค่ากว่าการที่จะต้องตามมารักษา เพราะไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล แน่นอนว่านโยบายนี้อาจจะกระทบกับภาคเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมรายย่อย แต่หากจะร่วมปรับตัวไปด้วยกัน มองว่าเป็นภัยร่วมกันของประเทศ ทุกหน่วยงานก็น่าจะลงทุนกับสิ่งนี้ได้มากขึ้น ในส่วนของผู้บริโภคก็เข้าใจได้ว่าอยากจะขอมีความสุขกับอาหารตรงหน้าในวันนี้ก่อน แต่ก็อาจจะต้องมีมาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างเหมาะสมด้วย ทุก ๆ ภาคส่วน ทั้งเอกชน ภาคประชาสังคม สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการมีสุขภาพดีได้”
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. ได้นำข้อมูลจากการสำรวจฯ นี้มาวิเคราะห์ร่วมกับฐานข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ ของประเทศ เช่น ข้อมูลการป่วยและการเสียชีวิต เพื่อนำไปพัฒนาดัชนีภาระโรค (Burden of Diseases) และคะแนนสุขภาพประชาชน (Health Score) สะท้อนสถานะสุขภาพของประชาชนไทย ทั้งโรคไม่ติดต่อ (NCDs) พฤติกรรมสุขภาพ และความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม เช่น การวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มสุราระดับเสี่ยงมีค่าเอนไซม์ตับสูงกว่าคนทั่วไป 3-5 เท่า สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การรณรงค์ลดการดื่มสุราได้ตรงจุดมากขึ้น เป็นพลังสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพยุคใหม่ เพราะจะทำให้มองเห็นปัญหาเชิงพื้นที่ได้แม่นยำขึ้น ติดตามผลได้ชัดเจนขึ้น และออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง
“การจะควบคุมโรค NCDs ให้ได้ผล ต้องปรับกลยุทธ์ในการจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ ควรกำหนดให้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน เป็นตัวชี้วัดในการดำเนินงานและให้มีการคัดกรองร่วมกับการคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และควรขยายการคัดกรองที่ปัจจุบันคัดกรองคนอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ครอบคลุมกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปีที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้วย รวมถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์หรือโครงการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ควรเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าวทิ้งท้าย.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สสส.หนุนองค์กรไทยสร้าง 'Mind First Aid' ยกระดับดูแลใจวัยทำงานอย่างยั่งยืน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) กรม
รวบ 3 โจ๋ ไล่ฟัน-ปล้นทรัพย์คู่อริ ตำรวจแจ้ง 5 ข้อหาหนัก
พ.ต.อ.ปิยะวัฒน์ พัชชรนิตยธรรม ผกก.สภ.สำโรงใต้ พร้อมด้วย พ.ต.ท.อดุลย์ มงคลเจริญ รอง ผกก.สส. และชุดสืบสวน สภ.สำโรงใต้ ร่วมกันจับกุมวัยรุ่น 3 ราย
อุกอาจ! แก๊งโจ๋ไล่ยิงกัน ป้าเก็บของเก่าโดนลูกหลง กระสุนเจาะหัวสาหัส
เมื่อเวลา 02.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ รับแจ้งมีเหตุยิงกัน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บภายในซอยแบริ่ง 48 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
'หมอยง' เปิดข้อมูล 'ไข้เลือดออก' ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง "วัคซีนไข้เลือดออก" โดยระบุว่า
‘อุตสาหกรรมอาหาร’เร่งโรคNCDs ภัยเงียบที่ต้องหยุดด้วยพลังชุมชน
ในยุคที่ผู้คนกินดีอยู่ดี แต่กลับป่วยง่ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือ “อุตสาหกรรมอาหาร” ที่สร้างพฤติกรรม “กินเกินความจำเป็น” โดยไม่รู้ตัว
เตือนสติวัยรุ่น! หยุดคอนเทนต์ทำร้ายคนเขมร ไม่เกี่ยวกับเหตุปะทะชายแดน
รัฐบาลเตือนกลุ่มวัยรุ่นอย่าใช้ความรุนแรงต่อแรงงานกัมพูชาในไทย ชี้ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะชายแดน ย้ำหากทำผิด ตำรวจดำเนินคดีเด็ดขาด


