ยอดติดเชื้อโควิดรายใหม่ 1,714 ราย เสียชีวิต 21 ราย "ครม." ไฟเขียวปรับลดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าปี 65 จาก 60 ล้านโดส เหลือ 35.4 ล้านโดส เหตุสถานการณ์ดีขึ้น หันเพิ่มซื้อแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว 257,500 โดส วงเงิน 7,569.2228 ล้านบาท ใช้รักษาผู้ป่วย 3 กลุ่มเสี่ยงสูงภูมิคุ้มกันต่ำ "รองผู้ว่าฯกทม." ลั่นเมืองกรุงพร้อมเข้าสู่โรคประจำถิ่น
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,714 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 1,711 ราย จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 1,711 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 3 ราย หายป่วยเพิ่ม 2,137 ราย อยู่ระหว่างรักษา 20,467 ราย อาการหนัก 631 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 295 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 21 ราย เป็นชาย 10 ราย หญิง 11 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 12 ราย มีโรคเรื้อรัง 9 ราย มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 4,502,542 ราย ยอดหายป่วยสะสม 4,451,569 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 30,506 ราย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยกรมควบคุมโรคเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสาระสำคัญของการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน 60 ล้านโดส (Astra Zeneca) ในปี 65 โดยปรับลดการจัดซื้อวัคซีน AZ จากเดิม 60 ล้านโดส กรอบวงเงิน 18,762.5160 ล้านบาท เป็นการจัดซื้อวัคซีน AZ จำนวน 35.4 ล้านโดส กรอบวงเงิน 11,069.8845 ล้านบาท เพิ่มการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting antibody : LAAB) จำนวน 257,500 โดส กรอบวงเงิน 7,569.2228 ล้านบาท ซึ่งทำให้กรอบวงเงินโดยรวมของโครงการปรับลดไป 123.41 ล้านบาท จากกรอบวงเงินเดิม 18,762.5160 ล้านบาทเหลือ 18,639.1073 ล้านบาท พร้อมขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการจากเดือนก.ย.65 เป็นเดือน ธ.ค.65
"ปี 65 ในประเทศมีความต้องการวัคซีนโควิด-19 ลดลง ประกอบกับสถานการณ์โควิดมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีวัคซีนที่ได้รับจากการบริจาคจากต่างประเทศจำนวนมาก ทำให้วัคซีนสำรองในประเทศเพียงพอ กรมควบคุมโรคจึงพิจารณาปรับแผนการจัดซื้อวัคซีน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยปรับลดจำนวนวัคซีน AZ ลง ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 บริษัทได้ส่งมอบวัคซีนแล้วจำนวน 13.2 ล้านโดส โดยจะได้มีแผนรับมอบจำนวน 11.2 ล้านโดสภายในปี 65 ส่วนที่เหลืออีก 11 ล้านโดสคาดว่าจะได้รับมอบภายในไตรมาสที่ 2 ปี 66" นายธนกรกล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในส่วนการเพิ่มจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) จำนวน 257,500 โดส เนื่องจากมีผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต หากมีการติดเชื้อ แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีน แต่ไม่เกิดภูมิคุ้มกันโรค เพราะร่างกายของผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่สามารถสร้างแอนติบอดีจากวัคซีนได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มโดยมุ่งใช้กับกลุ่มเสี่ยงสูงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ 3 กลุ่มโรค ได้แก่ ผู้ป่วยล้างไต ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะและผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันตนเอง ซึ่งจะช่วยป้องกันการป่วยได้ถึงร้อยละ 83
นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 (ChulaCov19 mRNA) เพื่อทำการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1-3 และการผลิตเพื่อขึ้นทะเบียนรับการรับรองจาก อย. พร้อมขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการเป็นเดือน ธ.ค.65 โดยมอบหมายให้จุฬาฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและผลิตวัคซีน ChulaCov19mRNA ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ให้สำเร็จตามเป้าหมาย เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโควิด
นายธนกรกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระมัดระวังสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.ค.นี้ ที่จะมีวันหยุดยาวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการสถานบริการ พนักงาน ลูกจ้าง รวมไปถึงภาคบริการเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ได้แสดงความขอบคุณนายกฯ ที่ได้มีมติผ่อนคลายมาตรการให้เปิดสถานบริการ หลังถูกปิดมานานหลายเดือน ซึ่งทางผู้ประกอบการยืนยันจะปฏิบัติตามมาตรการของทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่งนายกฯ เชื่อมั่นอีกไม่นานประเทศไทยจะสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
ที่ศาลาว่าการ กทม. น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวภายหลังประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กรุงเทพมหานคร (ศบค.กทม.) ครั้งที่ 22/2565 ว่า สำนักอนามัย สำนักการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้หารือถึงข้อเสนอเพื่อผ่อนคลายมาตรการป้องกันควบคุมโรคในประเทศ มาตรการสังคม ชุมชน และองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ระยะ Post-pandemic เตรียมมาตรการเพื่อเข้าสู่แนวทางการเป็นโรคประจำถิ่นของกรุงเทพมหานคร เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม.พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
"สถานการณ์โควิดใน กทม.ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อรายวันลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่ กทม.มีปัจจัยที่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด-19 สู่การเป็นโรคประจำถิ่น สำหรับประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ ทั้งกลุ่ม 608 เด็กอายุ 5-11 ปี และผู้ที่อายุ 12-17 ปี สามารถวอล์กอินให้รับบริการวัคซีนได้ ซึ่งการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นอาจไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แต่จะช่วยลดความรุนแรงให้เบาบางลง รวมทั้งหน้ากากอนามัยยังคงมีประโยชน์ในการป้องกันทั้งการแพร่เชื้อและการรับเชื้อโควิด และโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ จึงควรพกหน้ากากอนามัยทุกครั้ง เมื่อออกจากบ้านและนำมาสวมเมื่อมีความเสี่ยง" รองผู้ว่าฯ กทม.ระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พ่อนายกฯเคลียร์MOUสยบม็อบ
อิ๊งค์พร้อม! จัดชุดใหญ่แถลงผลงานรัฐบาล ลั่นรอจังหวะไปตอบกระทู้
พปชร.ขับก๊วนธรรมนัส ตัดจบที่ดิน‘หวานใจลุง’
"บิ๊กป้อม" ไฟเขียว พปชร.มีมติขับ 20 สส.ก๊วนธรรมนัสพ้นพรรค "ไพบูลย์" เผยเหตุอุดมการณ์ไม่ตรงกัน
รบ.อิ๊งค์ไม่มีปฏิวัติ! ทักษิณชิ่งสั่งยึดกองทัพ เหน็บอนุทินชิงหล่อเกิน
"ทักษิณ" โบ้ยไม่รู้ "หัวเขียง" ชงแก้ร่าง กม.จัดระเบียบกลาโหม
ศาลรับคำร้อง ให้สว.สมชาย หยุดทำหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “สมชาย เล่งหลัก” หยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.
คิกออฟแพ็กเกจแก้หนี้ ลุ้นบอร์ดขึ้นค่าแรง400
นายกฯ เผยข่าวดี ครม.คลอดชุดใหญ่แก้หนี้ครัวเรือน "คลัง-แบงก์ชาติ"
ครม.เคาะแพ็กเกจใหญ่ช่วยเหลือ 'ลูกหนี้รายย่อย-เอสเอ็มอี'
ครม. อนุมัติชุดใหญ่! จัดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ผู้ประกอบการ SMEs มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นแน่