จับตาขึ้นค่าแรง หวั่นลดคนงาน ของแพงเงินเฟ้อ

กสิกรฯ เคาะจีดีพีไทยปี 2566 โต 3.7% ชูท่องเที่ยวพระเอกเด่น ส่งออกยังสาหัส คาดติดลบ 1.2% ประเมิน กนง.จ่อขยับดอกเบี้ยแตะ 2.00% จับตาขึ้นค่าแรง 450 บาท เร่งเงินเฟ้อ-ของแพง

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัวที่ 3.7% โดยภาคการท่องเที่ยวจะยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย  ซึ่งคาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 28.5 ล้านคน ส่วนการส่งออกคาดว่าจะหดตัว -1.2% การนำเข้าหดตัว -2.4% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลที่ 6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่การลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนอาจจะยังขยายตัวได้ไม่มากนัก  โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่เป็นการลงทุนเพียงแค่การชดเชยค่าเสื่อม ทำให้กำลังการผลิตทรงตัวอยู่กับที่ ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัด ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8%

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ตอนนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังโตต่ำกว่าระดับศักยภาพที่ 5% แต่เชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องเมื่อเทียบรายไตรมาส

 “โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้สูงหรือต่ำกว่า 3.7% นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยหลักใหญ่ของเศรษฐกิจไทยขณะนี้คือพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก  ส่วนสถานการณ์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาล หรือความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล คงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย เพียงแต่อาจเป็นคลื่นรบกวนในช่วงสั้นๆ เท่านั้น เว้นแต่จะมีสถานการณ์ทางการเมืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญซ้ำรอยประวัติศาสตร์ มีการออกมาชุมนุมประท้วงใหญ่ กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และกระทบความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาประเทศไทย แต่มองว่ามีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้น” นายกอบสิทธิ์ระบุ

ส่วนสิ่งที่ควรกังวลมากกว่าคือตัวแปรใหม่ๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งต้องติดตามว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้ว จะสามารถผลักดันหลายเรื่องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหากในมุมมองของต่างชาติเห็นว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก็จะเป็นมุมมองในเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และเป็นอานิสงส์ต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567

นายกอบสิทธิ์กล่าวว่า ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี 2566 คาดว่าจะไปแตะที่ระดับ 2.00% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจ โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 31 พ.ค.นี้ มีโอกาสที่ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ กนง.เคยออกมาระบุว่ายังมีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มสูงขึ้น จากผลของต้นทุนสินค้าที่ผู้ประกอบการยังส่งผ่านมาถึงผู้บริโภคไม่เต็มที่ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเห็นการทยอยส่งผ่านต้นทุนมาที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นในปีนี้ และมีผลให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้น

สำหรับนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงที่พรรคร่วมรัฐบาลใช้เป็นนโยบายการหาเสียงนั้น คงต้องติดตามว่าเมื่อเป็นรัฐบาลจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการไตรภาคี และต้องไม่ลืมว่าการปรับขึ้นค่าแรงจะมีผลอื่นๆ ตามมา เช่น การปรับลดคนงาน การเลิกจ้าง การปรับขึ้นราคาสินค้า และการสูงขึ้นของเงินเฟ้อ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง