"บิ๊กตู่" ห่วงไม่อยากเห็นม็อบลงถนนเพราะความขัดแย้งการจัดตั้งรัฐบาล ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้นแล้ว แนะค่อยๆ เจรจา ด้านอดีต ส.ส.ร. 40 เตือนสติก้าวไกล คิดการใหญ่ต้องใจกว้าง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ปรับไม่มีทางตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ขณะที่ "เรืองไกร" ยื่น กกต.ตรวจสอบ 8 พรรคร่วมกันเซ็น MOU ตั้งรัฐบาล เข้าข่ายผิด กม.เป็นเหตุให้ยุบพรรค
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวกดดัน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาความขัดแย้งแบบเดิม สิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ทำมาตลอด 7-8 ปี จะกลับไปเป็นแบบเดิม ซึ่งประเด็นนี้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้มาก ไม่อยากให้เกิดการชุมนุมหรือเดินลงถนนกันอีก ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้นแล้ว และควรเลิกได้แล้ว จึงหวังว่าวิธีการพูดคุยและเจรจาจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ด้านนายบุญเลิศ คชายุทธเดช อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 2540 เปิดเผยว่า แม้ 8 พรรคการเมืองที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจะทำข้อตกลงร่วม หรือเอ็มโอยู 23 ข้อ และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกฯ หรือรัฐบาลจะจัดตั้งได้สำเร็จ เพราะการหาเสียงสนับสนุนจากส.ว.และ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลรักษาการมาโหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ เพิ่มเติมจาก 313 เสียง ให้ได้ 376 เสียง เป็นโจทย์ยากที่จะทำให้สำเร็จ เท่าที่ติดตามข่าววงในและที่ปรากฏในสื่อ พบว่ามีความระหองระแหง ไม่สบายใจเกิดขึ้นกับแกนนำพรรคร่วมในระหว่างการเจรจาเอ็มโอยู
เขากล่าวว่า สิ่งที่ผิดปกติในการเจรจาคือ พรรคก้าวไกลถือว่าตัวเองเป็นพรรคแกนนำเพราะได้เสียง ส.ส.มากกว่า จึงขอเป็นผู้กำหนดทิศทางข้อตกลงร่วม ดังที่ปรากฏออกมา 23 ข้อ ซึ่งจะพัฒนาเป็นนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้ยังมีท่าทีจะขอคุมกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง รวมทั้งจะนั่งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯ ซึ่งจะเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ในความจริงพรรคก้าวไกลมีเสียงมากกว่าพรรคเพื่อไทยแค่ 11 เสียง ในการเจรจา หากพรรคก้าวไกลให้เกียรติ ให้ความสำคัญกับพรรคเพื่อไทย ทั้งการเขียนเอ็มโอยู
การแบ่งกระทรวงและตำแหน่งประธานสภาฯ บนพื้นฐานของการต่อรองด้วยความเสมอหน้ากับพรรคก้าวไกล คำนึงความเหมาะสมและความกลมกลืนของสองพรรคเป็นหลัก ซึ่งควรเจรจาต่อรองไปพร้อมๆ กัน ทั้งเอ็มโอยู นโยบายและการแบ่งตำแหน่งต่างๆ โดยพรรคก้าวไกลไม่คิดว่าตัวเองเป็นพรรคเสียงข้างมากที่จะคอยกำกับหรือควบคุมการกำหนดต่างๆ ก็จะทำให้การเดินหน้าเพื่อเสริมส่งให้นายพิธาเป็นนายกฯ ประสบความสำเร็จได้โดยไม่ยาก
ก้าวไกลต้องใจกว้าง
“พรรคก้าวไกลกำลังคิดการใหญ่ คือนายพิธาได้เป็นนายกฯ พรรคก้าวไกลจะต้องใจกว้าง ไม่ทำให้เกิดการหมางใจกับพรรคเพื่อไทย และรวมถึงพรรคเล็กพรรคน้อยที่มาร่วมเป็นพันธมิตร เรื่องเล็กน้อยต้องรู้จักตัดทิ้งไปบ้าง ธำรงการเจรจาต่อรองทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์เอาไว้ โดยพรรคก้าวไกลจะต้องไม่เห็นแก่ตัว หรือเอาแต่ได้มากเกินไปจนลืมหัวอกเพื่อนที่ร่วมขบวนการต่อสู้มาด้วยกันสมัยเป็นฝ่ายค้าน"
นายบุญเลิศกล่าวว่า ความเป็นมิตรไมตรีต่อกันเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องแสดงออกมาให้เห็น นโยบายที่พรรคเพื่อไทยและพรรคพันธมิตรเช่นไทยสร้างไทยเคยหาเสียงไว้ ควรนำมาผสมผสานและได้รับการตอบสนองจัดทำเป็นนโยบาย เช่น เงินดิจิทัล 10,000 บาท, บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทั่วไทย, เงินบำนาญประชาชนคนละ 3,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น
นายบุญเลิศกล่าวว่า ลำพังโดยพรรคก้าวไกลพรรคเดียว คงเป็นไปได้ยากยิ่งที่จะหาเสียง ส.ว. 63 เสียงมาโหวตเลือกนายพิธาเพื่อให้ได้ 376 รวมทั้งเสียง ส.ส.ขั้วรัฐบาลรักษาการ ได้แก่ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรค 2 ลุง ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ชาติไทยพัฒนา ก็ยากที่จะมาโหวตสนับสนุนด้วยความเต็มใจ เพื่อลดการอาศัยเสียงของ ส.ว. เพราะพรรคก้าวไกลแสดงท่าทีปิดประตูตายไม่ต้อนรับพรรคเหล่านี้ ดังกรณีปฏิเสธและออกแถลงการณ์ขออภัยพรรคชาติพัฒนากล้าที่มี 2 เสียง อ้างว่ามวลชนสีส้มไม่เห็นด้วย ทั้งๆ ที่พรรคชาติพัฒนากล้าไม่ได้ต้องการจะเข้าร่วมรัฐบาล เรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของพรรคก้าวไกล
สำหรับ ส.ว.ที่จะโหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ นั้น นายบุญเลิศกล่าวว่า แม้ขณะนี้จะมีผู้แสดงตนเกือบ 20 คน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ หากจะได้ ส.ว.มาเพิ่ม พรรคก้าวไกลต้องปรับท่าทีอย่างมาก ถ้าทำอย่างที่เป็นอยู่คงไม่มีทางสำเร็จ ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พรรคเพื่อไทยมีความสบายใจ เพราะได้รับเกียรติและได้รับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีอย่างเหมาะสม เพื่อผลักดันนโยบาย อยากจะช่วยประสานงานติดต่อ ส.ว.ให้โหวตสนับสนุนนายพิธา ยกเว้นเสียแต่ว่าพรรคก้าวไกลไม่ง้อพรรคเพื่อไทย ก็เป็นอีกเรื่่องหนึ่ง
ร้อง MOU 8 พรรค
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบ 8 พรรคที่ร่วมกันลงนามเอ็มโอยูตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2566 เข้าข่ายผิดมาตรา 28 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ โดยนายเรืองไกรกล่าวว่า วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการเซ็นเอ็มโอยูของ 8 พรรค ซึ่ง กกต.ก็ควรจะทราบว่าการเซ็นเอ็มโอยูที่ผ่านมามีหัวหน้าพรรคทั้ง 8 พรรคเซ็นลงนาม ซึ่งตนได้เห็นเช่นนั้น ก็นึกไปถึงว่ารัฐธรรมนูญเขาได้ระบุ ให้ ส.ส.ต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติมอบหมาย ซึ่งการที่ไปลงนามตามมาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ได้ห้ามพรรคการเมืองไม่ให้กระทำการที่จะให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิก เพราะสิ่งที่ไปลงนามก็เท่ากับเป็นการไปยอมรับเงื่อนไขในการทำกิจกรรมทางการเมืองจากอีก 7 พรรคเข้ามา ซึ่งเรื่องนี้มันจะเข้าข่ายหรือไม่ ก็อยากให้ กกต.ตรวจสอบว่าเข้าข่ายมาตรา 28 หรือไม่ เพราะ 7 พรรคที่มาเซ็นลงนามกับพรรคก้าวไกลไม่สามารถจะเป็นสมาชิกพรรคได้ โดยการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งหัวหน้าพรรคการเมือง 7 พรรคเป็นไม่ได้แน่นอน คนคนหนึ่งจะเป็นสมาชิกพรรคซ้อนกัน 2 พรรคไม่ได้ นั่นเท่ากับเป็นการยอมให้ 7 พรรคตกลงเงื่อนไข ซึ่งที่ผ่านมาเราดูธรรมเนียมปฏิบัติ การตั้งรัฐบาลส่วนใหญ่ก็แค่จับไม้จับมือและแถลงข่าว ไม่มีการเซ็นเอกสารอะไร ฉะนั้นตนจึงย้อนไปนึกถึงลงนามเอ็มโอยูสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายนพดล ปัทมะ นั่นมันจะมีลักษณะต้องห้ามหรือไม่
นายเรืองไกรกล่าวว่า หลักฐานอย่างนี้ไม่ใช่ดูแค่รัฐธรรมนูญอย่างเดียว ซึ่งตนก็ได้ไปดูข้อบังคับของพรรคก้าวไกลเรื่องที่ว่าหัวหน้าพรรคจะไปเซ็นเอ็มโอยูกับใครได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่มีปรากฏ แต่พอมาดู พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่คนที่เป็นหัวหน้าพรรคเป็นตัวแทนพรรค ก็เท่ากับได้รับอาณัติมาจากสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรค เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นที่จะนำไปสู่การเข้าข่ายการถูกยุบพรรคได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรณีการถือครองหุ้นสื่อนั้นเป็นลักษณะต้องห้ามเฉพาะตัว แต่กรณีนี้เป็นลักษณะต้องห้ามการกระทำของพรรคการเมือง ซึ่งเขาห้าม ก็ต้องแล้วแต่ดุลยพินิจของ กกต.ว่าจะเห็นเหมือนที่เราเห็นหรือไม่
ยุบทั้ง 8 พรรค
เมื่อถามว่า การยื่นเรื่องร้องเรียนในครั้งนี้จะนำไปสู่การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่า ไม่ใช่เฉพาะพรรคก้าวไกล แต่ยุบทั้ง 8 พรรค เพราะต่างฝ่ายต่างยอมรับเงื่อนไข ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคซึ่งกันและกันเข้ามาครอบงำ โดยเอกสารที่เซ็นทั้ง 8 รายชื่อลงนามโดยหัวหน้าพรรคทั้งหมด เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการขาดคุณสมบัติเฉพาะตัว แต่เป็นเรื่องพรรคการเมืองฝ่าฝืนมาตรา 28 หรือไม่ แล้วจะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 92 (3) ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคหรือไม่ ซึ่งตนมีข้อเท็จจริงและกฎหมายอ้างอิงให้มาตรวจสอบ ส่วนรายละเอียดในข้อตกลง เอ็มโอยูบางประเด็นที่บางพรรคการเมืองไม่ได้ปฏิบัติตาม จะร้องแค่พรรคก้าวไกลอย่างเดียวไม่ได้ เพราะทั้ง 8 พรรคร่วมกระทำ
นายเรืองไกรยังกล่าวถึงความคืบหน้าการยื่น กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติส.ส.ของนายพิธาที่ถือหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวีฯ ว่า วันนี้ได้เข้ายื่นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อของนายพิธา เพื่อให้ กกต.นำไปประกอบการพิจารณา ประกอบด้วย ตารางชื่อของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ และนายพิธา ถือหุ้นบริษัท ไอทีวีฯ ปี 2549-2566 รวมทั้งสำเนารายชื่อผู้ถือหุ้น บมจ.ไอทีวี ปี 2549-2566 (บางส่วน) สำเนาวัตถุประสงค์ของ บมจ.ไอทีวี ตารางรายได้รวมของ บมจ.ไอทีวี ปี 2564-2565 สำเนารายได้รวมของปี 2564-2565 (ขาดปี 2555) และสำเนาพระราชบัญญัติบริษัทจำกัด (มหาชน) บางส่วน เนื่องจากตนเองเป็นแค่ผู้ร้อง ไม่มีอำนาจไปตรวจสอบกิจการได้ อีกทั้งมองว่าเรื่องนี้ต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน ดังนั้นเมื่อเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จะขอให้ศาลใช้ระบบไต่สวนเพื่อเรียกพยานหลักฐานเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาวินิจฉัยด้วย
นอกจากนี้ นายเรืองไกรยังได้เข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต. ที่เคยยื่นคำร้องให้ตรวจสอบ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กรณีขึ้นรูปโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นรูปโลโก้พร้อมเบอร์พรรคเพื่อไทย เข้าข่ายจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนหรือเข้าข่ายหลอกลวงให้หลงผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคหรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พปชร.ขับก๊วนธรรมนัส ตัดจบที่ดิน‘หวานใจลุง’
"บิ๊กป้อม" ไฟเขียว พปชร.มีมติขับ 20 สส.ก๊วนธรรมนัสพ้นพรรค "ไพบูลย์" เผยเหตุอุดมการณ์ไม่ตรงกัน
พ่อนายกฯเคลียร์MOUสยบม็อบ
อิ๊งค์พร้อม! จัดชุดใหญ่แถลงผลงานรัฐบาล ลั่นรอจังหวะไปตอบกระทู้
รบ.อิ๊งค์ไม่มีปฏิวัติ! ทักษิณชิ่งสั่งยึดกองทัพ เหน็บอนุทินชิงหล่อเกิน
"ทักษิณ" โบ้ยไม่รู้ "หัวเขียง" ชงแก้ร่าง กม.จัดระเบียบกลาโหม
ศาลรับคำร้อง ให้สว.สมชาย หยุดทำหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “สมชาย เล่งหลัก” หยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.
คิกออฟแพ็กเกจแก้หนี้ ลุ้นบอร์ดขึ้นค่าแรง400
นายกฯ เผยข่าวดี ครม.คลอดชุดใหญ่แก้หนี้ครัวเรือน "คลัง-แบงก์ชาติ"
'ธนกร' ดีดปาก 'ปิยบุตร' เลิกเสี้ยมปม กม.จัดระเบียบกลาโหม
'ธนกร' สวน 'ปิยบุตร' หยุดเสี้ยมปม กม.จัดระเบียบกลาโหม ยัน สส.ฟังเสียงประชาชน ปัดมีใบสั่งจากชนชั้นนำ ย้ำชัด กองทัพเป็นความมั่นคงของชาติทุกมิติ ชี้หากทำผิดก็อยู่ยาก ป้องกันรัฐประหารไม่ได้