เวิลด์แบงก์ขยับ ศก.ไทยโต3.9% ท่องเที่ยวหนุน

“ธนาคารโลก” เคาะเศรษฐกิจไทยปีนี้โตสะพรั่ง 3.9%    อานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้นตัว แต่ยังรั้งท้ายอาเซียน ห่วงตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า ถ่วงลงทุนภาครัฐชะงัก

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ประจำธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) กล่าวในการนำเสนอหัวข้อ “การฝ่าแรงต้านของเศรษฐกิจโลก : การพัฒนาและแนวโน้มเศรษฐกิจไทย” ในการเปิดตัวรายงานธนาคารโลก ตามติดเศรษฐกิจไทย “การรับมือกับภัยแล้งและอุทกภัย” ว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะแข็งแกร่งขึ้นในปี 2566 โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.9% สูงกว่าที่คาดการณ์ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น รวมถึงอุปสงค์ภายนอกจากจีนที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ในประมาณการเดิม

ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะหดตัวตามการชะลอลงของอุปสงค์ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ส่วนการบริโภคภาคเอกชน แม้จะมีแนวโน้มชะลอลงบ้าง หลังจากการฟื้นตัวขึ้นจากการเปิดเมืองเมื่อปีก่อน แต่จะยังขยายตัวได้แข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับแรงสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้น และอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากจีน ขณะที่การลงทุนภาครัฐจะชะลอตัวจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเป็นระยะเวลานาน

ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวที่ 3.6% และปี 2568 ที่ 3.4% ชะลอลงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง โดยการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกที่ลดลง อัตราการเติบโตที่ระดับศักยภาพในระยะยาวคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3% ช้ากว่าเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 3.6% ในช่วงปี 2553-2562

 “ปีนี้เศรษฐกิจโต 3.9% หลักๆ มาจากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนการบริโภคชะลอลงบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ราว 3% ขณะที่การส่งออกชะลอลง ตามบริบทเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ส่วนการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง และกลับเข้าสู่ช่วงก่อนเกิดโควิดได้ในปี 2567 ขณะเดียวกันมองว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้นได้ แต่ก็ยังล่าช้า ซึ่งถือเป็นประเทศท้ายๆ ในอาเซียน เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกและท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ” นายเกียรติพงศ์กล่าว

นายเกียรติพงศ์กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ 2.5% ต่อจีดีพี จากการค้าทั้งสินค้าและบริการ หลังจากที่ขาดดุลตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าจะยังคงชะลอตัว แต่มูลค่าการนำเข้าที่ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มผ่อนคลายจะส่งผลให้การเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและค่าขนส่งที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลางถึง 2% ซึ่งต่ำกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ และอยู่ในอันดับที่ 2 ในอาเซียนที่อัตราเงินเฟ้อต่ำสุด ท่ามกลางราคาพลังงานโลกที่เริ่มผ่อนคลาย การตรึงราคาและการเติบโตที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพ

 “อุปสงค์โลกที่ชะลอตัวลง การตรึงราคาพลังงานประเทศ ซึ่งรวมถึงไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มจะยังคงอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 3/2566 และจะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการระบาดของโควิด แม้ว่าการควบคุมราคาพลังงานและการขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดแรงกดดันด้านค่าครองชีพ แต่การควบคุมราคาดังกล่าวมักจะเป็นวิธีการที่ไม่มีประสิทธิภาพในการกระจายรายได้ ส่งผลกระทบแบบถดถอยในการกระจายรายได้ และบิดเบือนกระบวนการของเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งผลให้การปรับภาวะการคลังให้สมดุลทำได้ช้าลง” นายเกียรติพงศ์ระบุ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ระดับผลผลิตยังไม่น่าจะกลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 และคาดว่าจะยังคงต่ำกว่าระดับศักยภาพในปี 2566 ไปจนถึงปี 2568 โดยการกลับสู่เส้นทางดังกล่าวอาจช้าลงไปอีก จากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ยากลำบากและราคาพลังงานที่อาจกลับมาสูงขึ้น ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลอาจทำให้การลงทุนภาครัฐหยุดชะงัก จากปีนี้ที่การลงทุนภาครัฐสูงสุดในรอบ 6 ปี รวมถึงความท้าทายเชิงโครงสร้าง เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ ไทยและหลายประเทศในอาเซียนมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และภาครัฐจะมีภาระค่าใช้จ่ายด้านอุทกภัยและภัยแล้งเป็นจำนวนมาก และจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง