ส.ว.หนุน’พิธา’เหลือไม่ถึง10เสียง

วิปวุฒิฯ ถกโหวต “พิธา”    ตั้งโจทย์ไม่ผ่านรอบแรกเสนอชื่อซ้ำได้หรือไม่ สะพัดแนวร่วมน้อยลง เหลือไม่ถึง 10 เสียง ยื่นคำขาดต้องเลิกเพดานแก้ ม.112 เท่านั้น “ประพันธ์” เผยแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน อันตรายต่อชาติ  สร้างความแตกแยก ขู่ฝ่ายความมั่นคงเช็กรายตัวใครขายเสียง เตรียมนัด 10-11 ก.ค. หารือแลกเปลี่ยนความเห็นรอบสุดท้าย 

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการหารือเรื่องการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค. โดยมีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บางคนหยิบยกประเด็นการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีว่า หากไม่ได้รับเสียงเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาครบ 376 เสียงในวันดังกล่าว จะสามารถเสนอชื่อนายพิธากลับมาโหวตในรอบสองได้หรือไม่ โดยเทียบเคียงกับการพิจารณาคัดเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญของวุฒิสภา ที่หากชื่อบุคคลใดไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประวุฒิสภาแล้ว จะไม่มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อกลับมาพิจารณาใหม่ในรอบสองอีก               

นอกจากนี้ ยังหารือกรณีหากจะเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตนายกฯ มากกว่า 1 ครั้ง จะต้องเว้นระยะห่างการประชุมกี่วัน เพราะ ส.ว.บางคนมองว่าอย่างน้อยต้องเว้นระยะห่างการประชุม 3 วัน ตามข้อบังคับการประชุมในการแจ้งระเบียบวาระให้สมาชิกทราบ ไม่สามารถประชุมต่อเนื่องกันได้ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่บางคนเสนอให้เว้นระยะเวลาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีห่างกัน 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม  ทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวไม่สามารถหาข้อยุติได้ ในการประชุม กมธ.กิจการวุฒิสภา   จึงมอบให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย  ประธานวุฒิสภา ไปหารือกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อหาข้อยุติในประเด็นที่ ส.ว.มีข้อสงสัย รวมถึงให้นำไปหารือในที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายคือ ส.ว. ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ส.ฝ่ายค้าน ในต้นสัปดาห์หน้าเพื่อหาข้อยุติ

      ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ ส.ว. ที่ก่อนหน้านี้มี ส.ว.ร่วม 20 คน ประกาศจะสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ตามเสียงข้างมากที่ได้รับฉันทามติจากประชาชน แต่หลังจากที่พรรคก้าวไกลยังยืนยันมีนโยบายเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เสียง ส.ว.หลายคนที่เคยระบุพร้อมจะสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ เกิดความลังเล และไม่โหวตสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เหลือเสียง ส.ว.ที่พร้อมหนุนนายพิธาเป็นนายกฯ ขณะนี้ไม่ถึง 10 คน จนมีแนวโน้มค่อนข้างชัดเจนแล้วว่านายพิธาจะได้รับเสียงสนับสนุนเป็นนายกฯ จาก ส.ส.และส.ว.ไม่ถึง 376 เสียง ในการประชุมรัฐสภา วันที่ 13 ก.ค. เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรี

 นายทรงเดช เสมอคำ ส.ว. กล่าวถึงกรณีเคยระบุพร้อมสนับสนุนนายพิธา หากสามารถรวบรวมเสียงข้างมากของพรรคการเมืองได้เกิน 250 เสียงว่า เดิมเคยมีหลักการโหวตให้พรรคการเมืองที่รวบรวมเสียง ส.ส.ข้างมากได้เกิน 250เสียงเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้านายพิธา ยังมีจุดยืนแก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่สามารถโหวตให้เป็นนายกฯ ได้ เพราะมาตรา 112 แตะต้องไม่ได้ ไม่ว่าจะยกเลิกหรือแก้ไข ดังนั้นถ้าพรรคก้าวไกลยังมีนโยบายแก้ไขมาตรานี้ จะไม่โหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ

นางประภาศรี สุฉันทบุตร ส.ว. กล่าวยืนยันว่า จากที่เคยโพสต์ข้อความว่าสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ขณะนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ เช่นเดิม เนื่องจากจะโหวตให้พรรคเสียงข้างมาก หากนายพิธาไม่ได้รับเลือกเป็นนายกฯ แล้ว พรรคอันดับสองเสนอแคนดิเดตเป็นนายกฯ ก็จะเลือกนายกฯ จากพรรคอันดับ 2 แต่หากยังไม่ได้รับเลือกอีก แล้วพรรคเสียงข้างน้อยเสนอตัวเป็นนายกฯ ตนจะไม่เลือก เมื่อถามว่าไม่ติดใจในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล นางประภาศรี ตอบว่า เรื่องมาตรา 112 หรือเรื่องหุ้นไอทีวีเป็นเรื่องขององค์กรเกี่ยวข้องพิจารณา   ส.ว.ไม่มีหน้าที่ไปตัดสิน

ที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์  เครือข่าย Respect My Vote จัดเสวนาหัวข้อ “เคารพผลเลือกตั้ง ฟังเสียงประชาชน” นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว. กล่าวตอนหนึ่งว่า เสียงข้างมากเป็นอย่างไร ส.ว.อย่างตนก็เห็นด้วยแบบนั้น เมื่อส.ส.เสียงข้างมากครั้งนี้ใครรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้ เราก็เอาตามนั้น ไม่ว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร ก็ยังใช้หลักการเดิม ดังนั้น การปิดสวิตช์จึงไม่เท่ากับงดออกเสียง เพราะวันนี้สมการเปลี่ยน เนื่องจากมีองค์ประชุม 750 เสียง การปิดสวิตช์จึงเป็นการตามน้ำ หรือโหวตตาม ส.ส. แต่ตนก็ไม่รู้ว่า ส.ว.อีกกว่า 60คนจะคิดตามสมการนี้หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่า ส.ว.มีความเป็นปัจเจกบุคคล แม้จะมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ตอนนี้ไม่มี คสช.แล้ว เปลี่ยนผ่านมาเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มาจากการเลือกตั้ง จึงยากที่จะบอกว่า ส.ว.จะไปทางไหน หรือมีความเห็นตรงกันเกี่ยวกับมาตรา 112 แต่ที่ผ่านมาอาจมีส.ว.บางคนพูดจามีน้ำหนักจึงกลายเป็นประเด็น ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นเงื่อนไขให้ ส.ว.ต้องคิดเหมือนกัน

เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน

 นายประพันธ์ คูณมี ส.ว. กล่าวว่า จากที่มีการประเมินสถานการณ์และการพูดคุยกันระหว่างเพื่อน ส.ว.ด้วยกัน น่าจะมีข้อสรุปค่อนข้างชัดเจนว่าเสียงส่วนใหญ่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ไม่ยอมรับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ไปเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่ยินดีที่จะโหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล เพราะแนวคิดและจุดยืนทางการเมืองมีปัญหา และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น ความพยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และที่มีแนวคิดจะดำเนินการปฏิรูประบบสถาบันกษัตริย์ฯ ตามแนวคิดของพรรคก้าวไกล และกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนเขายังดำรงอยู่และมีเป้าหมายที่ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงจุดยืนและแนวคิดในเรื่องนโยบายการต่างประเทศ ก็เป็นอันตรายต่อประเทศไทยและสังคมไทย  จากประเทศไทยที่เป็นมิตรกับทุกประเทศ คบค้าสมาคมได้กับทุกฝ่าย ก็ส่อไปในทิศทางที่จะชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน และเอนเอียงเข้าข้างมหาอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เปิดทางให้มหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงครอบงำประเทศ

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พรรคก้าวไกลและตัวนายพิธายังมีพฤติกรรมที่ส่อไปในลักษณะที่จะสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน  บิดเบือนประวัติศาสตร์ พยายามปลุกระดมประชาชนและชนเผ่าต่างๆ ให้มีความคิดกระด้างกระเดื่องและแบ่งแยกรัฐออกจากราชอาณาจักรไทย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายมากที่สุด การเดินสายออกไปทั่วประเทศ กำลังปลุกปั่นยุยงประชาชน สร้างความขัดแย้งแตกแยกให้เกิดขึ้นในประเทศ เป็นนายกฯ ก็ไม่สามารถสร้างความสามัคคีให้คนมาร่วมมือกันทำงานได้ แม้แต่กับพรรคการเมืองด้วยกันก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี กับประชาชน เขาก็เลือกที่จะดูแลหรือปกป้องสนับสนุนกลุ่มด้อมส้มที่สนับสนุนเขาเท่านั้น แต่ไม่เห็นหัวประชาชนส่วนใหญ่ ผู้นำที่่มีวุฒิภาวะแบบนี้ มันไม่สามารถเป็นผู้นำของประเทศได้

“ส.ว.หลายคนก็มีแนวคิดคล้ายกับผมในประเด็นนี้ และมีเยอะ เขาไม่ได้มองแค่ตัวบุคคลแล้ว แต่เขามองไปถึงทั้งพรรคแล้วว่ามันเป็นกันทั้งพรรค มันไม่ได้เป็นเฉพาะแค่นายพิธา พรรคนี้มีความคิดและวัฒนธรรมแบบนี้ทั้งพรรค เข้าไปหนุนกลุ่มที่ชุมนุมการเมืองแบบก้าวร้าวรุนแรง พวก ทะลุวัง ทะลุฟ้าทั้งหลาย พวกข้อเสนอปฏิรูปสถาบันสิบข้อ ที่เป็นอันตรายทั้งนั้นแล้วพรรคนี้ไปสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ไปประกันตัวให้ จัดทนายไปช่วย ยุยงส่งเสริมให้เด็กออกมาเคลื่อนไหวก้าวร้าวก่อความรุนแรง ซึ่งเป็นกันทั้งพรรค ไม่ใช่แค่ตัวบุคคล เมื่อเป็นแบบนี้พรรคนี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะไปเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล" นายประพันธ์ระบุ

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า มีข่าวความเคลื่อนไหวในกลุ่ม ส.ว.เช่นเดียวกันว่า มีคนพยายามที่จะใช้เงินไปซื้อเสียง ส.ว. มาสนับสนุน ยกมือให้ ซึ่ง ส.ว.มองเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ทั้งที่อ้างตนว่าเป็นพรรคประชาธิปไตย เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ว่ามีกระแสข่าวทำนองนี้ แต่จะเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลเป็นคนทำเองหรือไม่ หรือมีกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังที่เดินสายเพื่อจะจัดการให้หรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามและตรวจสอบของฝ่ายข่าวและฝ่ายความมั่นคง ซึ่ง ส.ว.ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเขามีใครบ้าง ตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงเขาติดตาม มาร์กตัวเป็นรายบุคคลเลย

ไม่ลดเพดาน ม.112 ไม่เลือก

“พิธาโจมตีด่าทอ ส.ว.มาตลอดสี่ปีกว่าที่ผ่านมา หาว่า ส.ว.เป็นกากเดนสังคม แล้ววันนี้จะมาขอความร่วมมือกับเขา คุณด่าเขามาตลอด ประณามเขามาตลอด พรรคการเมืองที่ทำงานการเมืองแบบนี้ คือทำลายตัวเอง ไม่สามัคคีคนอื่นมีแต่ทำลายตัวเองมัน ก็ยากที่จะได้รับความร่วมมือ จะไปบริหารชาติบ้านเมือง มันก็ยากที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เพราะพฤติกรรมของพวกคุณมันกร่าง” นายประพันธ์ระบุ

นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. ให้ความเห็นกรณีนายพิธาจะผ่านด่าน ส.ว.ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ว่า ทำไมไม่ไปชวนพรรคอื่นมายกมือโหวตให้ จะได้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับ ส.ว. พรรคภูมิใจไทยก็ตั้ง 70 เสียง ทำไมไม่ไปเอามา ย้ำว่า ตราบใดที่เพดานแก้ 112 ของพรรคก้าวไกลไม่ลดก็คงยาก เพราะตัวเองทำตัวเอง  ส.ว.ก็ตรวจสอบทุกพรรคการเมือง พรรคไหนที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ โดยเฉพาะสถาบันต่างๆ ไม่เฉพาะสถาบันเบื้องสูง และมีนโยบายอีกหลายอย่างที่กระทบกับองค์กรและสถาบัน นายพิธาและผู้อยู่เบื้องหลังก็ใช้หาเสียงจนชนะเลือกตั้งมาแล้ว หากจะกลับคำไม่แก้ ไม่แตะ ม.112 จะกลายเป็น “ไม่แก้ ไม่มีกู” อีก และตนเองก็ไม่เชื่อว่านายพิธาและพรรคก้าวไกลจะลดเพดานเรื่องนี้ลงได้ เพราะเห็นพฤติกรรมตลอดหลายปีของนายพิธา ได้แสดงออกให้เห็นชัดเจน แต่จะมาพูดวันเดียวว่าไม่เอาไม่แก้จึงเป็นไปไม่ได้

นายกิตติศักดิ์กล่าวว่า ส.ว.ได้คุยและหารือกันตลอด แต่ไม่มีธงว่าจะออกมติอย่างไร ทุกคนมีความรู้สึกใกล้เคียงกันว่า พรรคก้าวไกล นายพิธาและผู้อยู่เบื้องหลังไม่สมควรเป็นรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายซ่อนรูปในการนิรโทษกรรม ในขณะที่พรรคเพื่อไทยก็อ้อมแอ้มไม่ชัดเจนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย นี่คือสิ่งที่ตนเองไม่ไว้ใจนายพิธาและผู้อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล ส่วนแนวโน้มในการโหวตวันที่ 13 ก.ค.นั้น คิดว่า ส.ว.ส่วนใหญ่จะงดออกเสียงมากกว่า และคงมีบ้างบางคนที่จะสนับสนุนนายพิธา แต่หลังจากที่รัฐพิธีเปิดสภา จะเห็นปรากฏการณ์คิดว่า ส.ว. เป็นต้นคิดที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกันสดๆ จึงเห็นว่า ส.ว.ทุกคนร้องเพลงนี้กันอย่างพร้อมเพรียง จึงคิดว่าวันนั้นเป็นจุดที่จะชี้ว่า ส.ว.คนไหนที่จะยกมือสนับสนุนนายพิธา ทั้งนี้ ส.ว.จะมีนัดพบปะพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวันที่ 10-11 ก.ค.นี้ ก่อนที่จะถึงวันลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.

ขณะที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว. โพสต์เนื้อหาพร้อมเอกสารบนเฟซบุ๊กระบุว่า หลักฐานชัดเจน อย่าโกหกว่าแก้เพื่อปกป้อง ร่างกฎหมายฉบับก้าวไกลที่เสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร แต่ถูกท่านประธานสภาฯ ให้ไปปรับแก้ไข แต่ไม่ยอมแก้ไขและยืนยันจะเอาเข้าสภาให้ได้นั้น ได้แยกมาตรา 112 ที่ป้องไม่ให้ผู้ใดหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท ออกจากกัน โดยลดโทษจำคุกลงเหลือแค่ไม่เกิน 6 เดือน ไม่เกิน 1 ปี และปรับลดโทษลงโดยไม่ต้องรับโทษเลย หากอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือหากเป็นความจริง หรือบางมาตราก็มีตัดโทษจำคุกทิ้งหมดเหลือแค่โทษปรับเล็กน้อย เช่น มาตราที่คุ้มครองพระราชอาคันตุกะ เจ้าพนักงาน ผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้แตกต่างจากที่พวกเขาพยายามอธิบายให้สังคมเข้าใจบิดเบือนไปว่า ร่างแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 นี้ไม่มีอะไร    เพียงแค่ทำเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ทันยุค.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'คารม' แจง ป.ป.ช. พยานคดี สส.ก้าวไกล แก้ 112 ชี้นิรโทษยกเข่งรอดหมด

'คารม' แจง 'ป.ป.ช.' ในฐานะพยาน ปม สส.ก้าวไกล ลงชื่อแก้ ม.112 พร้อมถามใครเจ้ากี้เจ้าการ เชื่อนิรโทษล้างผิดยกเข่ง 'ผู้นำจิตวิญญาณ - สส.พรรคส้ม' รอดหมด

ก้าวไกลประกาศแล้ว! ไม่ส่งชิง 'นายก อบจ.ปทุมธานี' ปัดหนุน 'บิ๊กแจ๊ส'

'ไอติม' ยัน 'ก้าวไกล' ไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ปทุมธานี อ้างเวลาบีบสรรหาไม่ทัน ลั่นไม่หนุน 'บิ๊กแจ๊ส' เลี่ยงตอบสส. พรรคช่วยหาเสียงส่วนตัว

'ธนกร' ขวาง 'ปิยบุตร' ปลุกแก้ปลายเหตุ นิรโทษเหมาเข่งคดี 112

'ธนกร' ค้าน 'ปิยบุตร' ชี้แค่ปลายเหตุนิรโทษคนผิด ม.112 ไม่เห็นด้วยยกโทษคนหมิ่นสถาบัน เหยียบย่ำหัวใจคนไทยมากไป จี้แก้ให้ตรงจุด จัดการตัวการบิดเบือนใส่ข้อมูลเท็จ-เบื้องหลังเยาวชนดีกว่า

UN ฟังทางนี้! 'อดีตบิ๊ก มธ.' เปิดความจริงการเสียชีวิตของ 'บุ้ง'

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า การเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง