ดักคอก.ก.ขับ‘หมออ๋อง’ยิ่งกว่าละคร

"เศรษฐา" ลั่นเทหมดหน้าตัก ทุกเรื่องยันการแก้ไข รธน.เป็นสิ่งเร่งด่วนที่ ปชช.ต้องการ เวลาชัดเจนเมื่อไหร่จะขีดไทม์ไลน์ แกนนำ พท.ปัดตั้ง กก.ศึกษาไม่ใช่การยืดอายุรัฐบาล ไม่เกี่ยวยุบสภา "อดิศร-ครูมานิตย์" ดักคอ ก.ก.ขับ "หมออ๋อง" พ้นสมาชิกฝากเลี้ยงพรรคเป็นธรรม เปิดทางพรรคส้มเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ยิ่งกว่าละครซ่อนหา ย้อนถามผิดอะไร เตือนคิดให้รอบคอบ ระวังเป็นตราบาปกระทบศักดิ์ศรี-ความสง่างาม

เมื่อวันจันทร์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวระหว่างร่วมเสวนาหัวข้อ “Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต” กรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) บอกว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าทำอย่างเต็มที่แล้วจะเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยสัญญาแล้วทำได้จริงว่า “ผมเทหมดหน้าตักแล้ว ถ้าเกิดคำว่าไม่เทหมดหน้าตัก แสดงว่ายังมีก๊อกสองในกระเป๋า ผมมีอะไรในกระเป๋า ผมไม่มี ผมเต็มที่กับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม รัฐธรรมนูญ เราพูดไปทุกเวที อาจยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเวลา ถ้าชัดแล้วจะมีการขีดไทม์ไลน์”

เมื่อถามถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พูดได้หรือไม่ว่า 1 ปีครึ่งหรือ 2 ปีจะเสร็จ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ประชาชนต้องการ สถานการณ์ที่เราอยู่เป็นความผิดปกติของรัฐธรรมนูญที่ต้องแก้ไข

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว. ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรักษาการเลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตกรณีที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติ และใช้การเดินหน้าแก้ไข รธน.เป็นเครื่องป้องกันอายุของรัฐบาลจนกว่าจะแก้ไข รธน.สำเร็จว่า การตั้งคณะกรรมการเพื่อทำประชามติเป็นกลไกหนึ่งของ รธน.อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่มีประเด็นที่จะทำให้การแก้ไข รธน.ยืดเยื้อ เป็นไปตามขั้นตอน แต่ละขั้นตอนนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร คิดว่ารัฐบาลเร่งอยู่ ถือว่าเป็นวาระสำคัญ

เมื่อถามว่า จะไม่ใช้การแก้ไข รธน.ยื้อเวลารัฐบาลใช่หรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่าไม่ เป็นไปตามที่นายกฯ เคยพูดในหลายเวทีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และในแต่ละขั้นตอนต้องเริ่มให้ถูกต้อง โดยต้องเริ่มจากการทำประชามติเสียก่อน แล้วจึงค่อยเข้าสู่กระบวนการต่อไป และไม่เกี่ยวกับการอยู่หรือไปของรัฐบาล เพราะการแก้ไข รธน.เป็นเรื่องที่รัฐบาลมีความตั้งใจอยู่แล้ว ส่วนการแก้ไขปัญหาและดูแลพี่น้องประชาชนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลต้องทำอยู่แล้วตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาบริหารประเทศ

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวหากรัฐบาลชุดนี้แก้ไข รธน.เสร็จแล้วจะยุบสภาทันทีว่า คงไม่เกี่ยวกันในเรื่องของ รธน.กับการบริหารงานของรัฐบาล ทุกคนคงไปตีเวลาของการแก้ รธน.ว่าใช้เวลา 2-3 ปี แล้วมาคำนวณการใช้เวลาทำงานของรัฐบาล ในช่วงที่นายกฯ กำหนดไทม์ไลน์ในเรื่องต่างๆ เหล่านั้นอาจจะใช้เวลาทั้งหมด แล้วเอาเวลาทั้งสองเรื่องมาเปรียบเทียบกัน แล้วพูดสองเรื่องสามเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ว่ามันคนละเรื่องกัน อาจจะเป็นการวิจารณ์เพื่อให้เป็นประเด็นที่อาจเกิดความสับสนมากกว่า

นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนยังไม่ได้พูดคุยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะผู้รับผิดชอบตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ หลังจากที่มีข่าวว่าจะเชิญตนให้เข้าร่วมกรรมการ เบื้องต้นคาดว่าจะได้พูดคุยกันเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ในหลักการทำงานต้องยึดตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลังให้สัมภาษณ์ไว้ และคงไม่ช้า การทำงานดังกล่าวต้องมีความรอบคอบ และหากพิจารณาองค์ประกอบของกรรมการ ตนมองว่าต้องมีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงภาคประชาชน

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ได้นำเข้าที่ประชุม ครม.ในครั้งที่แล้วไปแล้ว และสั่งการไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราได้แปลงความต้องการของประชาชนมาเป็นรูปธรรมในการสั่งการแต่ละฝ่าย ส่วนการดำเนินการหลายเรื่องก็ต้องใช้เวลา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ก็ต้องร่วมกันดำเนินการ เพราะเป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยสูงสุด ดังนั้นทุกอย่างต้องรอบคอบ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้แก้ได้บ่อยๆ

นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร  (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เพื่อเปิดทางให้ สส. ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านว่า ตนไม่อยากไปก้าวก่ายแทรกแซงพรรคการเมืองที่มีโอกาสเป็นผู้นำฝ่ายค้าน เพราะเป็นกิจการภายในของพรรคนั้น แต่ติดที่รัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดว่าพรรคการเมืองที่จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านต้องไม่เป็น ครม.  ประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ทั้งนี้แม้พรรค ก.ก. จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว แต่หากยังมีรองประธานสภาฯ คนที่ 1 อยู่ ก็จะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไม่ได้ ซึ่งจะตกไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่พรรค ปชป.ก็ยังเลือกหัวหน้าพรรคไม่ได้

นายอดิศรกล่าวต่อว่า ตำแหน่งรองประธานสภาฯ เมื่อมีการเลือกไปแล้วก็ถือว่าสิ้นสุด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเป็นสิทธิ์ของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่จะอยู่หรือไป ตนเป็นคนหนึ่งที่เลือกนายปดิพัทธ์เป็นรองประธานสภาฯ หากนายปดิพัทธ์เป็นรองประธานสภาฯ อยู่ ก.ก.ก็ไม่ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน

ถามอีกว่า อาจจะมีการขับนายปดิพัทธ์ไปอยู่กับพรรคอื่น นายอดิศรกล่าวว่า ท่านมีความผิดอะไร ตนถามหน่อย  คุณปดิพัทธ์มีความผิดอะไรถึงขับออกจากพรรค ข้อบังคับของทุกพรรคระบุว่า หากจะขับคนใดคนหนึ่งออกจากพรรคต้องมีความผิดรุนแรง ตนยังหาเหตุผลที่จะขับนายปดิพัทธ์ออกจากพรรคไม่ได้ ยกเว้นมาเล่นละครซ่อนหากัน ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่หากจะย้ายพรรคก็เป็นสิทธิ์ของนายปดิพัทธ์ ไม่ไปก้าวล่วง เพราะกฎหมายเปิดช่องอยู่ว่าสามารถทำได้ แต่ไม่ขอวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่

นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรค พ.ท. กล่าวถึงกระแสข่าวที่พรรค ก.ก.อาจจะมีมติขับนายปดิพัทธ์พ้นจากการเป็นสมาชิก เพื่อไปสังกัดพรรคเป็นธรรมและเปิดทางให้พรรค ก.ก.สามารถทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านได้ว่า ขอให้พรรค ก.ก.และนายปดิพัทธ์คิดให้ดีและอดทนรอ เพราะหากจะตัดสินใจขับนายปดิพัทธ์ก็จะยิ่งกว่าละคร และในอนาคตนายปดิพัทธ์อาจจะลำบากในการทำหน้าที่รองประธานสภาฯ

"เพราะการถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้น จะต้องขัดมติพรรคอย่างรุนแรง เป็นตราบาป ยิ่งกว่าการฆ่าตัวตายทางการเมือง และยิ่งกว่าการโดนไล่ออกจากโรงเรียน ซึ่งหากผมถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคก็ถึงขั้นเลิกเล่นการเมืองได้ เพราะมีปัญหาเรื่องความสง่างาม เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี และไม่อยากให้พรรคก้าวไกลใช้กติกาแบบนี้ ทั้งที่ประกาศจะทำการเมืองแบบใหม่ แต่กลับเลี่ยงบาลี"

นายครูมานิตย์กล่าวด้วยว่า หากวันใดตนเองเมาอากาศในสภาก็อาจจะทวงถามความสง่างาม จริยธรรม และศักดิ์ศรีของรองประธานสภาฯ ที่ทำหน้าที่อยู่บนบัลลังก์การประชุมก็ได้ เพราะตนถือเป็นหนึ่งเสียงที่ลงมติให้นายปดิพัทธ์เป็นรองประธานสภาฯ เพราะก่อนหน้านี้ตนก็รับไม่ได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง