จี้ก้าวไกลหยุดปฏิบัติหน้าที่

“สนธิญา” ย้อนเกล็ดก้าวไกลสุดแสบ บี้ กกต.ชงเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอยุบพรรค บอกเมื่อครั้งตีความ 8 ปีลุงตู่เด็ก ก.ก.ก็ชงมาแล้ว “เรืองไกร” จี้ ป.ป.ช.ลุยฟัน 44 สส.ลงชื่อแก้ ม.112 “ทนายอั๋น” โผล่ชงยุบภูมิใจไทย บอกวงล้อกระทำความผิดชัดเจน

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มี.ค. นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยุติการปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยถึงที่สุด กรณี กกต.ส่งเรื่องต่อศาลให้วินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล กรณีใช้การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียง

โดยนายสนธิญากล่าวว่า วันนี้มาเรียกร้องให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลหยุดการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับกรณีที่ สส.พรรคก้าวไกลยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พร้อมพ่วงขอให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย โดย สส. 44 คนที่ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็มีส่วนร่วมส่งคำร้องกรณี พล.อ.ประยุทธ์ เช่นกัน ซึ่งศาลก็มีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว   ดังนั้นเมื่อ กกต.จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ก็ขอให้เสนอเรื่องให้พรรคก้าวไกล ยุติการดำเนินการใดๆ ไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยถึงที่สุด

 “ผมอยากให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้น ในเมื่อคุณยื่นเรื่องกรณี พล.อ.ประยุทธ์ครบวาระ 8 ปีหรือไม่ ท่านก็บอกศาลว่าให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ วันนี้เมื่อ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำของพรรคก้าวไกล เป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองฯ ยุบพรรครวมถึงตัดสิทธิทางการเมือง ก็สมควรต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคก้าวไกลหยุดการกระทำการใดๆ ไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยถึงที่สุด” นายสนธิญากล่าว

ส่วนนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) เพื่อขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาว่า กรณีข้อเท็จจริงในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 จะเป็นเหตุให้สส.พรรคก้าวไกล 44 คน เข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่

 “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 ดังกล่าวมีผลเป็นเด็ดขาดผูกพัน ป.ป.ช. ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ เคยร้องไปที่ ป.ป.ช.แล้วตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.2567 แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ทราบว่า ป.ป.ช.ได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจแล้วหรือไม่อย่างไร เมื่อ กกต.ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจไปแล้ว วันนี้จึงต้องส่งหนังสือ ด่วนที่สุด ไปถึง ป.ป.ช.อีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้ ป.ป.ช. รีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) โดยเร็วด้วย” นายเรืองไกรกล่าว

ขณะเดียวกัน นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ ระบุว่า เข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต.ในคำร้องที่ตนยื่นให้พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จากกรณีรับเงินบริจาค หจก.บุรีเจริญ​ คอนสตรัคชั่น​ ซึ่งได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 และยังได้นำพยานหลักฐานมายื่นต่อ กกต.เพื่อประกอบคำร้องดังกล่าว จึงขอให้ กกต.นำเรื่องพิจารณายุบพรรคภูมิใจไทยเข้าสู่ที่ประชุมในสัปดาห์หน้า และมีมติส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคภูมิใจไทยควบคู่ไปกับการยื่นคำร้องยุบพรรคก้าวไกล เพราะการยุบพรรคก้าวไกลยังห่างไกลกับการยุบพรรคภูมิใจไทย โดยคำวินิจฉัยกรณีของนายศักดิ์​สยาม ชิดชอบ นั้น โดยเฉพาะการให้นอมินี​ถือหุ้นแทน วงล้อแห่งการกระทำความผิดครบถ้วนกระบวนความไม่จำเป็นต้องตีความ แต่สำหรับกรณีพรรคก้าวไกลยังต้องมีการวินิจฉัยต่อไป

วันเดียวกัน นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. มองคดีมาตรา 112 เป็นเงื่อนไขทางการเมือง หากอยากคลี่คลายความขัดแย้งควรขยายพื้นที่การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงความผิดมาตรานี้ ว่าต้องตั้งหลักให้ถูกต้องก่อน เพราะคดีชุมนุมทางการเมืองกับคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ เป็นคนละเรื่องที่จะนำมาเหมารวมว่าเป็นการเมืองไม่ได้

“คุณณัฐวุฒิควรยึดหลักการให้ดี ไม่ใช่เห็นว่าเป็นการชุมนุมแล้วเหมารวมว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปเสียหมด   ต้องมาดูว่าเจตนาและเป้าหมายของการชุมนุมและการแสดงความเห็นต่างๆ นั้น ต้องการอะไรกันแน่” นายธนกรกล่าว

ส่วนศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลอาญาพิพากษาจำคุก นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบรท์ รวม 6 ปี ปรับเป็นพินัย 2,200 บาท ในคดี ม.112 และ ม.116 เหตุปราศรัยในการชุมนุมม็อบ 29 พฤศจิกา. 2563 หน้าราบ 11 ก่อนลดกึ่งหนึ่งเหลือ 3 ปี ปรับเป็นพินัย 1,100 บาท ซึ่งคดีนี้นายชินวัตรถูกฟ้องใน 10 ข้อหา ศาลพิพากษาว่ามีความผิดใน 8 ข้อหา โดยจำเลยรับสารภาพ มีเหตุให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 ปี ปรับเป็นพินัย 1,100 บาท ทั้งนี้ หากนับโทษจำคุกใน 4 คดีที่ศาลไม่รอลงอาญา นายชินวัตรจะมีโทษจำคุกจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นรวม 10 ปี 6 เดือน และปัจจุบันนายชินวัตรถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลาเพียง 16 วัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง