ยืดอีก15วันแก้ต่างยุบก.ก.

พรรคส้มเฮ! ศาล รธน.ไฟเขียวขยายเวลายื่นแจงแก้ข้อกล่าวหาของก้าวไกล ปมร้องยุบพรรค 15 วัน ขีดเส้น 18 พ.ค.นี้ ขณะที่ กกต.แจกใบดำ-ใบแดง "สมชาย เล่งหลัก" ผู้สมัคร สส.สงขลา ภูมิใจไทย รู้เห็นเป็นใจให้ลูกน้องเตรียมซื้อเสียง

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ​ประชุมปรึกษาในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ ผู้ร้อง โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้อง มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) (2)

ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้อง  และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ ภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง  ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง

โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องของผู้ถูกร้อง ฉบับลงวันที่ 23 เม.ย. 2567 ที่ขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่สอง ออกไปอีก 30 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดขยายระยะเวลาครั้งแรกแล้ว จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.2567 ซึ่งจะครบกำหนดยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 18 พ.ค. 2567

ส่วนคำร้องของนายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ อดีตสมาชิกของพรรคผู้ถูกร้อง   ฉบับลงวันที่ 11 เม.ย.2567 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ยื่นคำร้องมิใช่คู่กรณีหรือเป็นผู้เกี่ยวข้องในคดี จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง

ก่อนหน้านี้ นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล     กล่าวว่า “เราหวังว่าศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาในคดีนี้มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดเยอะ ทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการต่อสู้คดี ที่มีโทษร้ายแรงถึงขั้นยุบพรรคการเมือง รวมถึงตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ระยะเวลาที่ศาลให้ครั้งแรกคือ 15 วัน เราขอขยายต่อ 30 วัน ศาลให้เพิ่มแค่ 15 วัน รวมกันแล้วแค่ 1 เดือน ซึ่งไม่เพียงพอในการหาข้อเท็จจริง รวมถึงการพูดคุยขอความร่วมมือกับคนที่จะมาเป็นพยาน หวังว่าวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามคำร้องขอของเรา”

วันเดียวกันนี้ เว็บไซต์สำนักงาน กกต. ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสมชาย เล่งหลัก ผู้สมัคร สส.สงขลา เขต 9 พรรคภูมิใจไทย  ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)​ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.2561 มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง และให้ดำเนินคดีอาญา นายสมชาย เล่งหลัก, นายวินัย บัวทอง และ พ.ต.อ.ถวัลย์ นคราวงศ์ ตามมาตรา 73 (3) ประกอบมาตรา 158 วรรคหนึ่ง ของกฎหมายเดียวกัน

เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนฟังได้ว่า วันที่ 13 พ.ค.66 เวลา  10.00 น. ริมถนนสายสนามบินข้างสำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง หมู่ที่ 1 ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ได้ร่วมกันจับกุมนายวินัย พร้อมด้วยของกลางเป็นบัญชีรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลในพื้นที่ ต.ควนลัง ต.คลองแห ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ ต.ท่าข้าง ต.แม่ทอม ต.บางกล่ำ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา จำนวน 16 แผ่น ในกระเป๋าสะพายสีดำที่ผู้ถูกกล่าวหาสะพายคาดอกไว้ และพบเงินสดจำนวน 1 แสนบาท รวมทั้งแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของนายสมชาย จำนวน 2 ชุด อยู่ภายในรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ ที่รอบตัวรถติดสติกเกอร์ หมายเลข 7 ซึ่งเป็นหมายเลขผู้สมัคร สส.ของนายสมชาย

และจากการไต่สวนพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเคลื่อนที่เร็ว ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ขณะเข้าไปบริเวณที่ทำการสายตรวจตำบลควนลัง พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนายวินัย ซึ่งพยานได้ถามนายวินัยว่า "พี่มาจากไหน มาทำอะไร” ซึ่งนายวินัยตอบว่า "ได้โควตามา 40 หัว” ประกอบกับนายวินัยให้ถ้อยคำว่า กระดาษที่มีรายชื่อบุคคลเป็นเอกสารรายชื่อที่เคยทำธุรกิจด้วยกันและจะนำไปเสนอกับผู้ใหญ่เพื่อแลกเงินคะแนนเสียงเลือกตั้ง สอดคล้องกับข้อมูลที่ปรากฏตามบัญชีรายชื่อที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 9 จ.สงขลา พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่านายวินัยจัดเตรียมจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่นายสมชาย ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 73 (1)

ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากบันทึกคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ลงวันที่ 27 มิ.ย.66 พบว่านายสมชายเคยให้หมายเลขโทรศัพท์แก่ประธานคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนเมื่อครั้งที่มีการลงพื้นที่ตรวจสอบสาขาพรรคการเมืองประมาณช่วงเดือน ก.พ.66 ก่อนที่จะมีการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อใช้ในการติดต่อประสานงาน และเมื่อตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของนายสมชายจากบัญชีของธนาคารกรุงไทย สาขาหาดใหญ่ พบว่ามีการเติมเงินเข้าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าว โดยใช้บัญชีธนาคารของนายสมชายหลายครั้ง จึงเชื่อได้ว่าหมายเลข โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของนายสมชายอีกหมายเลขหนึ่ง และเมื่อตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของพ.ต.อ.ถวัลย์ พบมีการติดต่อกับหมายเลขโทรศัพท์ของนายสมชายระหว่างวันที่ 3 เม.ย.-30 พ.ค.66 จำนวนประมาณ 40 ครั้ง และติดต่อกับหมายเลข โทรศัพท์ของนายสมชายตามที่ปรากฏในบันทึกถ้อยคำของนายสมชาย จำนวนประมาณ 25 ครั้ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนและหลังเกิดเหตุการณ์ที่มีการจับกุมนายวินัย แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสาม

ส่วนกรณีที่พบเงินสดจำนวน 1 แสน บาทในรถยนต์ พ.ต.อ.ถวัลย์ให้ถ้อยคำว่า เป็นเงินที่กู้ยืมมาจากพยานที่ พ.ต.อ.ถวัลย์กล่าวอ้าง ซึ่งพยานคนดังกล่าวให้ถ้อยคำว่า ให้ พ.ต.อ.ถวัลย์ผู้เข้ามารับเงินเมื่อวันที่ 12 พ.ค.66 เนื่องจากตนต้องเก็บเงินลูกค้ามาก่อน ช่วงค่ำจึงได้ส่งมอบเงินที่รวบรวมมาจากลูกค้าให้พ.ต.อ.ถวัลย์ เป็นธนบัตรฉบับละ 1,000บาท จํานวน 100 ฉบับ แต่เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายเงินของกลาง มีลักษณะ มัดเป็นปึกแน่นและรัดด้วยสายรัดธนาคารไทยพาณิชย์ มิได้มีลักษณะเป็นเงินที่เก็บรวบรวมมาจากลูกค้า ถ้อยคำของ พ.ต.อถวัลย์และพยานในประเด็นดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อถือ

กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายสมชายก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายวินัยและ พ.ต.อ.ถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริตเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 73 (1)  ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายสมชายไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง