เชื่อ‘บิ๊กตู่’อยู่จบปีเสือ

ศึกอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติกลางเดือน ก.พ. ฝ่ายค้านรอถล่มบิ๊กตู่-ศบค. ปมโควิดโอมิครอนลุกลาม รองหัวหน้าเพื่อไทยด้อยค่าวัคซีนจีน "นิด้าโพล" เผยผลสำรวจ คนส่วนใหญ่เชื่อปี 65 "ประยุทธ์" อยู่ยาวตลอดปีเสือ "เรืองไกร" ตามขยี้เอาผิด "วิสาร" ปั้นน้ำเป็นตัวเรื่องนายกฯ แจกกล้วย ส.ส. ชง ป.ป.ช.ไต่สวน

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง การเมือง เศรษฐกิจ และโควิด 19 ในปี 2565 ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-6 มกราคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 1,325 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไปในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2564 พบว่า 46.34% ระบุว่าสถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา 34.72% ระบุว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายมากขึ้น, 10.04% ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายน้อยลง, 3.77% ระบุว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะไม่วุ่นวายเลย และ 5.13% ระบุว่า เฉยๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2565 พบว่า 45.36% ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมา 11.47% ระบุว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่, 7.85% ระบุว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะปรับคณะรัฐมนตรี, 7.32% ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์จะลาออก, 6.64% ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งครบ 8 ปี, 3.47% ระบุว่าจะเกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล และทำให้รัฐบาลล่ม, 3.17% ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์จะโดนชุมนุมขับไล่ ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ, 1.28% ระบุว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะโดนรัฐประหาร, 0.98% ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์จะโดนคดีความทางการเมืองจนต้องหลุดจากตำแหน่งนายกฯ และ 16.45% ระบุว่าเฉยๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อม็อบกลุ่มสามนิ้วในปี 2565 พบว่า 46.64% ระบุว่าม็อบจะไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม, 14.34% ระบุว่าม็อบจะมีความรุนแรงมากขึ้น, 12% ระบุว่าม็อบจะอ่อนแรงลง, 5.43% ระบุว่าม็อบจะยกระดับได้, 3.92% ระบุว่าม็อบจะยุติลง, 3.55% ระบุว่าแกนนำม็อบจะโดนคดีความมากขึ้น, 1.58% ระบุว่าม็อบจะขับไล่รัฐบาลได้ และม็อบจะโดนสลายการชุมนุมอย่างหนัก ในสัดส่วนที่เท่ากัน, 1.13% ระบุว่า ม็อบจะสามารถบรรลุข้อเรียกร้องตามที่ต้องการ, 0.91% ระบุว่าม็อบจะสามารถเจรจายุติความขัดแย้งกับรัฐบาลได้ และร้อยละ 14.57 ระบุว่าเฉยๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านท่าทีฝ่ายค้านนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดโอมิครอนว่า ถือเป็นการระบาดระลอกที่ 5 แล้ว การบริหารจัดการเรื่องโควิด พล.อ.ประยุทธ์ผิดพลาด และเชื่อว่าภายในสัปดาห์นี้ยังไงก็ทะลุหมื่นคนแน่นอน รอบนี้ถือว่าเป็นรอบที่ 5 แล้ว รัฐบาลรับรู้ และอยู่กับสถานการณ์โควิดมาตั้งแต่ปี 2563 แต่การแก้ปัญหามีความล่าช้า สับสน เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง โควิดรอบที่ 5 นี้คล้ายๆ กับรอบที่ 3 ที่ระบาดจากสถานบันเทิงแล้วกระจายออกไป บทเรียนจากรอบที่ 3 และรอบที่ 4 ทำให้เห็นว่า ระบบสาธารณสุขล้มเหลว ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยจำนวนมากได้ รัฐบาลรับมือไม่ไหว

"สิ่งที่น่ากลัวคือคนไทยส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนจีน ซึ่งสามารถป้องกันโอมิครอนได้ต่ำมาก โอกาสที่ประเทศไทยจะติดเชื้ออย่างรวดเร็วจึงสูงมาก" นายยุทธพงศ์ระบุ

นายยุทธพงศ์กล่าวว่า การระบาดรอบนี้รัฐบาลหนักกว่าที่ผ่านมา นอกจากออกมาตรการกลับไปกลับมา ยังมีความล่าช้า และสับสน รัฐบาลดำเนินมาตรการต่างๆ ช้าราวกับไม่อยากให้ประชาชนตระหนกกับความจริงที่เกิดขึ้น การแก้ไขปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค. กลับหายไปเฉยๆ ในช่วงวันหยุดยาว ไม่มีการประชุม เหมือนกับประเทศไทยไม่มีผู้นำอยู่ในขณะนั้นเลย เมื่อมีการระบาดของโอมิครอนมีการประกาศยกเลิกเทสต์แอนด์โก แต่กลับให้นักท่องเที่ยวที่ลงทะเบียนไว้ก่อนเข้ามาได้ 2.ไปเพิ่มแซนด์บ็อกซ์อีก 3 จังหวัดขึ้นมาเพื่อรับนักท่องเที่ยว แต่คนไทยกลับให้ทำงานที่บ้าน 100% แบบนี้สับสนหรือ 3.ให้ดื่มในร้านอาหารจากเดิมถึง 23.00 น. เป็น 21.00 น.แทน กระทรวงสาธารณสุขเสนอยกระดับมาตรการป้องกันโควิดเป็นระดับที่ 4 ที่ต้องงดทานอาหาร และดื่มในร้าน รวมถึงงดกิจกรรมรวมตัวกันทุกอย่าง จะเห็นได้ว่ามาตรการสับสนไปหมด

“การบริหารสถานการณ์ที่ผิดพลาดล้มเหลวนี้ ในสัปดาห์หน้าเตรียมเสนอให้พรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เรื่องการบริหารจัดการโควิดที่ล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์”

อนึ่งก่อนหน้านี้ฝ่ายค้านออกมาเปิดเผยว่าจะมียื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติในช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้ เพื่อขอใช้สิทธิ์ดังกล่าวในช่วงการเปิดประชุมสภากลางเดือน ก.พ. ก่อนที่จะมีการปิดสมัยประชุมสภารอบปัจจุบัน 28 ก.พ.นี้

ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณี นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เปิดเผยในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อวันที่ 2 ก.ย.2564 กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์จ่ายเงินจำนวน 5 ล้านบาทให้กับ ส.ส.ที่รัฐสภา เพื่อให้ลงคะแนนไว้วางใจให้กับตนเอง โดย นพ.สุกิจแถลงข่าวไว้บางส่วน ว่า “คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอเสนอความเห็นกรณีดังกล่าวว่าจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้แสวงหารวบรวมและตรวจสอบ ไม่มีประจักษ์พยาน หรือไม่มีพยานแวดล้อมเพียงพอที่จะฟังได้ว่า นายกรัฐมนตรีได้จ่ายเงินให้กับ ส.ส.เพื่อให้ลงคะแนนไว้วางใจให้กับนายกรัฐมนตรีภายในอาคารรัฐสภา ในคราวการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามที่นายวิสาร ได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด

 นายเรืองไกรกล่าวว่า กรณีนี้มาจากการที่นายวิสารกล่าวถ้อยคำว่า “คนที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตอนนี้สง่างามหรือไม่ ผมขอท่านชวน หลีกภัย เป็นเสาหลักให้ประชาชนคนไทยด้วย ผมขอประกาศไปทั่วโลกว่า ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์จ่ายเงินให้ ส.ส.คนละ 5 ล้านบาท ที่ห้องทำงานชั้น 3 ถือเป็นพฤติกรรมที่อุกอาจ ทุจริต ต้องการอยู่ในตำแหน่ง จนถึงต้องให้ ส.ส. ไปรับเงินกลางสภาฯ ล่มเถอะครับ หน้าไม่อาย ทำอย่างนี้ได้อย่างไร”

นายเรืองไกรกล่าวว่า เมื่อผลสอบออกมาเช่นนี้แล้ว จึงต้องขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนนายวิสารว่าการกล่าวหานายกฯ ดังกล่าว เข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ หรือไม่ ซึ่งมาตรฐานทางจริยธรรมฯ มีข้อที่อาจเกี่ยวข้องดังนี้ ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ข้อ 15 ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือน และข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง

 "ในวันที่ 10 ม.ค. จะส่งหนังสือไปทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช.เรียกผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการไต่สวนนายวิสาร" นายเรืองไกรเปิดเผยไว้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง