"เศรษฐา" ร่ายผลงานทัวร์อีสาน 4 จังหวัด โปรยยาหอมเรื่องน้ำ-สินค้าเกษตร "นิด้าโพล" ทำนายกฯ สะเทือน ประชาชนพาเหรดหนุน "พิธา-ก้าวไกล" เหมาะนั่งผู้นำบริหารประเทศ "เสี่ยนิด" รับสภาพต้องปรับยุทธศาสตร์ ชี้มีหลายอย่างที่อยากทำแต่ไม่ได้ทำ พร้อมรับฟังโพล แต่ข้องใจถามแต่จังหวัดใหญ่ "แดดดี้ทิม" ได้ทีขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำงานจริงจังใน 5 ปี เมินคำเตือนศาลรัฐธรรมนูญ แถลงย้ำเรื่องยุบพรรคอีกรอบ มั่นใจรอดทั้งศาล-ป.ป.ช.
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน ถือเป็นวันสุดท้ายในการปฏิบัติภารกิจขอนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่ภาคอีสาน โดยขณะที่ลงพื้นที่ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ นายกฯ ได้แวะทักทายและถ่ายรูปกับประชาชนอย่างเป็นกันเอง โดยชาวบ้านขอให้นายกฯ มีสุขภาพที่แข็งแรง พร้อมบอกว่า “รักนายกฯ เศรษฐา ดีใจที่นายกฯ มาใกล้ชิดประชาชน นายกฯ มาวันนี้อากาศเย็นสบาย ดีใจจังเลย เป็นขวัญใจประชาชน ชาวรัตนบุรี” ขณะที่คุณยายถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจที่ได้เจอนายกฯ บอกที่ผ่านมาไม่เคยมีนายกฯ คนใดลงมาในพื้นที่
ทั้งนี้ ในการลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ นายกฯ ยังใช้รถยนต์ทะเบียน 8 กผ 1127 กรุงเทพมหานคร คันเดิม
ต่อมานายเศรษฐาได้ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 28-30 มิ.ย.ว่า จ.ร้อยเอ็ด ถือว่าเป็นจังหวัดอีสานตอนใต้ที่มีศักยภาพสูง ได้ไปดูการขุดลอกอ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว พื่อเพิ่มปริมาณการกักเก็บน้ำ ที่ช่วยทั้งในช่วงฤดูแล้งและฤดูฝน สร้างประโยชน์ให้ประชาชนมีน้ำใช้ในทุกครัวเรือน ส่วน จ.อุบลราชธานี ปัญหาหลักๆ คือเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง และได้ไปดูเรื่องกระบวนการทำเทียนพรรษา ซึ่งควรส่งเสริมให้เป็นเฟสติวัลหรืออีเวนต์ประจำปีของจังหวัด โดยในวันที่ 20-21 ก.ค.2567 จะมีงานใหญ่ก็จะพยายามเคลียร์ตารางงานเพื่อจะมาร่วมงานด้วย
นายกฯ กล่าวต่อว่า จ.ร้อยเอ็ด ที่มีผลการจับกุมเรื่องยาเสพติดมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ของพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง รวมถึงการขาดสถานที่รักษาผู้ติดยาเสพติดให้เพียงพอ ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการ ขณะที่ จ.ศรีสะเกษ ดูเรื่องสินค้าเกษตร ปัญหาราคาหอมแดง ซึ่งก่อนมาเป็นรัฐบาลราคาอยู่ที่ 10 บาทต้นๆ ต่อกิโลกรัม ซึ่งปีนี้จะต้องทำให้ได้ 20 บาทต่อ กก. รวมถึงราคาพริก 35 บาทต่อ กก.
โพลยกก้นพิธาเหนือเสี่ยนิด
ขณะเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่องการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 2/2567 โดยสำรวจประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปรวม 2,000 หน่วยตัวอย่าง
โดยเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 45.50% ระบุว่าเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะชื่นชอบอุดมการณ์ทางการเมือง มีความรู้ และความสามารถรอบด้าน, 20.55% ระบุยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้, 12.85% นายเศรษฐา เพราะมีความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ และมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาของประเทศ, 6.85% นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เพราะมีภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือ การทำงานมีความซื่อสัตย์ สุจริต, 4.85% น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพราะมีวิสัยทัศน์ มีความเป็นผู้นำ และมีความรู้ ความเข้าใจปัญหาของประเทศ, 3.40% คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพราะเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารที่โดดเด่น และมีความน่าเชื่อถือ, 2.05% นายอนุทิน ชาญวีรกูล เพราะมีประสบการณ์ทำงานด้านการบริหาร เข้าถึงประชาชน และชื่นชอบนโยบายที่ผ่านมา, 3.40% ระบุอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน, นายวราวุธ ศิลปอาชา, นายชัยธวัช ตุลาธน, นายชวน หลีกภัย, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง, นายเทวัญ ลิปตพัลลภ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส และ 0.55% ระบุว่าไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า 49.20% พรรคก้าวไกล, 16.85% พรรคเพื่อไทย, 15% ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้, 7.55% พรรครวมไทยสร้างชาติ, 3.75% พรรคประชาธิปัตย์, 2.20% พรรคภูมิใจไทย, 1.75% พรรคพลังประชารัฐ, 1.55% พรรคไทยสร้างไทย, 1.05% ระบุอื่นๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรคชาติพัฒนา, พรรคประชาชาติ, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคเพื่อไทยรวมพลัง และพรรคไทยภักดี และ 1.10% ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
รับต้องปรับยุทธศาสตร์
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการลงพื้นที่ในหลายจังหวัด แต่ผลโพลสำรวจยังออกมาพบว่านายกฯ ยังได้รับความนิยมเป็นรองจากนายพิธา จะมีการปรับยุทธศาสตร์อย่างไรหรือไม่ ว่ายุทธศาสตร์เรามีการปรับตลอดเวลา จะมีโพลหรือไม่มีโพลก็ตาม เพราะการลงพื้นที่แต่ละครั้งถือว่าไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ ยังมีข้อร้องเรียน ข้อเรียกร้อง ระยะเวลา และความลึกการลงพื้นที่ รวมถึงเวลาที่ให้กับพ่อแม่พี่น้อง มีหลายๆ ปัญหาที่ยังไม่ถูกนำมาพูดถึง แต่ทุกครั้งเวลาลงพื้นที่เวลากลับไปจะพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่ใช่แค่ลงพื้นที่อย่างเดียว เราคงมีการปรับตัว โพลก็เป็นส่วนหนึ่งที่ให้ฟีดแบ็กกับเรา
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ และนโยบายหลักก็ยังไม่ได้คลอดออกไป งบประมาณเพิ่งใช้ได้ไม่ถึง 2 เดือนนี้เอง ซึ่งก็ไม่ได้อยากอ้างงบประมาณตลอดเวลา แต่ทุกๆ คำถามทุกๆ โพลที่ออกมาเราก็น้อมรับ ส่วนการจะไปถามครอบคลุมทุกภาคส่วนหรือเปล่า สื่อมวลชนต้องไปดู ว่าเข้ามาสำรวจในจังหวัดสุรินทร์หรือในพื้นที่รอบๆ ครบหรือเปล่า หรือถามแต่จังหวัดใหญ่ๆ
“ผมไม่มั่นใจอะไรทั้งสิ้น เพราะตื่นเช้ามาก็ทำงานทุกวัน และผลโพลก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถมั่นใจหรือไม่มั่นใจ และวันนี้ผลโพลยังไม่ดีพอ เราก็ยังไม่มั่นใจ ความไม่มั่นใจไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เป็นสิ่งที่เตือนสติให้เราทำงานหนักขึ้น เราต้องพยายามที่จะหามาให้ได้ว่าพี่น้องประชาชนยังต้องการอะไรอีก และพยายามพัฒนาต่อไป เพราะปัญหามันเยอะเหลือเกิน” นายเศรษฐาตอบเมื่อถามว่ามั่นใจในคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่
ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงผลนิด้าโพลเป็นการตอกย้ำว่าหากยิ่งยุบพรรคจะยิ่งโตหรือไม่ว่า ไม่ได้ตอกย้ำตรงนั้น การได้คะแนนนิยมเป็นอันดับ 1 ต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนๆ พรรคก้าวไกลทุกคน รวมถึงทีมงานจังหวัด ทีมพื้นที่ พนักงาน สมาชิกพรรค ว่าที่ผู้สมัคร และ สส. ที่ทำงานกันอย่างหนัก พิสูจน์ตัวเองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจ
นายพิธายังระบุว่า ผลคนโหวตหาบุคคลเหมาะสมไม่ได้ สะท้อนว่าการเมืองทั้งระบบไม่ตอบโจทย์ ซึ่งก็ตรงกับที่อภิปรายงบประมาณ ซึ่งไม่ได้เล่นคำ Ignite กับ Ignore ให้เป็นวาทกรรม แต่รู้สึกว่ามีคนที่ถูกทอดทิ้งในระบบการเมืองไทยจริงๆ มีคนไม่มีปากเสียงในระบบการเมืองไทยจริงๆ แล้วอยากรู้ว่าตัวเลข 20% ที่ขึ้นลง สะท้อนอะไรบ้างเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ หลังจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อถามว่า ตามโพล นายเศรษฐามาเป็นอันดับ 3 มองปรากฏการณ์อย่างไรนายพิธาย้ำว่า คงจะพูดในมุมที่อยากจะพูดกับตนเองเหมือนกัน ว่าต้องพิสูจน์ตัวเองในการทำงานหนัก ไม่ได้ต้องรู้สึกผิดหวังจากตัวเลขที่ลดลง ตนเองก็เคยโพลลดลง มันก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้อหรือรู้สึกว่าอยากจะทำงานการเมืองน้อยลง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียกำลังใจ เพราะในช่วงที่บ้านเมืองลำบากยากแค้นขนาดนี้ ต้องมีกำลังใจดี และพร้อมที่จะทำงานเพื่อประชาชนอยู่เสมอ ตนขอเป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรี
วันเดียวกัน นายพิธายังกล่าวแถลงความคืบหน้าคดียุบพรรคต่อเนื่องจากคำแถลงครั้งก่อน โดยเน้นไปที่ข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการทบทวน 9 ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล ว่าแบ่งเป็นสัดส่วน เขตอำนาจและกระบวนการ, ข้อเท็จจริง และสัดส่วนโทษ พร้อมย้ำว่า กระบวนการในชั้นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กกต.กำลังทำให้การยุบพรรคมี 2 มาตรฐาน บางพรรคใช้มาตรา 92 และบางพรรคใช้มาตรา 93 ถ้าเราดูอย่างเห็นได้ชัดมาตรา 92 และ 93 ไม่สามารถใช้แยกกันได้
ตอกย้ำ กกต. 2 มาตรฐาน
“บางพรรคที่ กกต.อยากจะส่งขึ้นทางด่วนก็ใช้มาตรา 92 พอ มาตรา 93 ไม่ต้องใช้ ถ้าปล่อยให้ใช้แยกกัน หมายความว่าพรรคก้าวไกลขึ้นทางด่วน ส่วนพรรคอื่นไปทางธรรมดา เรายังยืนยันว่าไม่สามารถตีความมาตรา 92 และ 93 อย่างที่ กกต. ตีความได้ เราไม่สามารถให้การยุบพรรคมี 2 ช่องทางให้ กกต.ใช้ด้วยอำเภอใจ” นายพิธากล่าว
นายพิธากล่าวอีกว่า ศาลเคยยกคำร้องเพราะ กกต.ไม่ทำตามกระบวนการมาแล้วในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นก่อนส่งเรื่องเข้า กกต. โดยยังเชื่อมั่นว่าถ้า กกต.เปิดประตูให้เข้าไปชี้แจงต่อ กกต. มีความเป็นไปได้สูงในการที่จะยกคำร้องตั้งแต่ชั้น กกต.
นายพิธายังกล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้กระทำตามข้อกล่าวหา จะมีการฟ้องกลับ กกต.หรือไม่ ว่าคิดว่ายังคงไกลไปเยอะที่จะคิดเรื่องนั้น เรื่องที่เราอยากจะขอย้ำ และขอยืนยันว่าคำร้องของ กกต.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีส่วนร่วม ไม่มีการถ่วงดุล และผิดขั้นตอนของทาง กกต.เอง ไม่ควรที่จะให้ตีความแบบ กกต.ว่าแยกมาตรา 92 กับ 93 กรณีนั้นทำให้เกิดสองมาตรฐาน บางพรรคถ้ากรณีที่ใช้ดุลยพินิจแล้วเกิดแยกขึ้นมา ยืนยันว่าไม่ได้กล่าวหา กกต.โดยตรง แต่โดยหลักการถ้ามีสองมาตรฐานแบบนี้ได้
เมื่อถามว่า มองเรื่องของการรับรู้ของศาลมองเป็นการฟอกข่าวให้ กกต.หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่อาจก้าวล่วงไปที่ทางศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่สามารถก้าวล่วงไปในมุมของ กกต.ได้ ในขณะเดียวกันก็ทราบว่าศาลถามอะไรไปที่ กกต.ก็ทราบคำตอบ ตั้งใจที่จะแถลงข่าวอย่างตรงไปตรงมาและยึดที่ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายของฝั่งตนเอง ไม่อาจไปก้าวล่วงไปที่ผู้ร้อง เน้นที่ฝั่งของตัวเองที่ถูกกระทบหรือถูกกระทำ ไม่ได้ต้องการที่จะไปก้าวล่วงในขอบเขตของคนอื่น
เมื่อถามว่า ในส่วนตัวของพรรคก้าวไกลนั้นมั่นใจหรือไม่ว่ากรณีนี้จะถูกยุบพรรค นายพิธากล่าวว่า ถ้ามีความสม่ำเสมอในการใช้มาตรฐานในการทำคำร้องคดีและมาตรฐานในการตัดสินคดี ตนมีความมั่นใจ
เมื่อถามว่า กรณีนี้ตัวพรรคก้าวไกลมั่นใจว่าจะไม่ถูกยุบกับการที่เทียบคดีที่มีการร้อง ป.ป.ช. เรื่องของจริยธรรมที่มี สส. ก้าวไกล 44 คน เข้าชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เรื่องของคดีนั้นกับคดีนี้ อันไหนมีแนวโน้มว่าจะมีความเชื่อมั่นมากกว่ากัน นายพิธากล่าวว่า เชื่อมั่นพอๆ กัน ยังเชื่อมั่นในตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเจตนาของพวกเราที่มีเจตนาดีกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใดที่ผ่านมาที่มีคำอธิบายได้ เราประกันตัว เพราะเป็นสิทธิที่เป็นหลักการสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน การที่เรามีผู้ต้องหามาตรา 112 เป็นสมาชิกพรรคหรือเป็น สส.พรรค ก็ต้องให้โอกาสเขาในการที่จะพิสูจน์ เพราะคดีก็ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯอิ๊งค์ขายฝันประชานิยมปี 2568 แจกเงินหมื่น-ผ่อนบ้าน 4 พัน-ล้วงเงินหวยส่งเด็กเรียนนอก
'นายกฯอิ๊งค์' ร่ายยาวผลงานรัฐบาล 90 วัน เปิดอนาคตปี 68 ครอบคลุมทุกมิติ มาแน่ปีหน้าเงินหมื่นเฟส 2-3 จัดบ้านเพื่อคนไทยผ่อน 4 พันไม่ต้องดาวน์ ผุดไอเดียดึงงบกองสลากส่งเด็กไทยเรียนเมืองนอก คืนชีพ 1 อำเภอ 1 ทุน
เปิดสภาวันแรกเดือด!ฝ่ายค้านซัดจงใจหนีตอบกระทู้ทั้ง ครม.
สส.เพื่อไทยเดือด ปชน. ตั้งกระทู้ปลาหมอคางดำ หลอกด่านายกฯ เบี้ยวตอบกระทู้ตั้งแต่วันแรกของการประชุมสภาฯ ด้าน 'ปธ.วิปค้าน' ข้องใจเจตนาแถลงผลงานตรงวันเปิดประชุมสภา ฉุนจงใจเบี้ยวตอบกระทู้ทั้ง ครม.
พ่อนายกฯเคลียร์MOUสยบม็อบ
อิ๊งค์พร้อม! จัดชุดใหญ่แถลงผลงานรัฐบาล ลั่นรอจังหวะไปตอบกระทู้
พปชร.ขับก๊วนธรรมนัส ตัดจบที่ดิน‘หวานใจลุง’
"บิ๊กป้อม" ไฟเขียว พปชร.มีมติขับ 20 สส.ก๊วนธรรมนัสพ้นพรรค "ไพบูลย์" เผยเหตุอุดมการณ์ไม่ตรงกัน
รบ.อิ๊งค์ไม่มีปฏิวัติ! ทักษิณชิ่งสั่งยึดกองทัพ เหน็บอนุทินชิงหล่อเกิน
"ทักษิณ" โบ้ยไม่รู้ "หัวเขียง" ชงแก้ร่าง กม.จัดระเบียบกลาโหม
ศาลรับคำร้อง ให้สว.สมชาย หยุดทำหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “สมชาย เล่งหลัก” หยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.