ฟุ้งประชุมWEFผลสำเร็จอื้อซ่า

นายกฯ อิ๊งค์โชว์วิสัยทัศน์เวทีโลก ไทยพร้อมเปิดรับการลงทุน สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยจุดแข็งด้านเกษตรกรรม-ซอฟต์พาวเวอร์-อุตสาหกรรม ร่ายผลงาน 5 วันประสบความสำเร็จ เชื่อไทยเป็นที่รู้จักและจะมีการลงทุนอย่างมาก

เมื่อวันศุกร์ที่ 24 ม.ค. ณ ห้อง Jakobshorn  ศูนย์ประชุม Davos Congress Center เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายของประเทศไทยต่อผู้บริหารภาคเอกชน และร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ในกิจกรรม Country Strategy Dialogue (CSD) on Thailand ในช่วงของการประชุม World Economic Forum ประจำปี ค.ศ.2025

น.ส.แพทองธารได้เน้นย้ำให้ทราบถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งมีจุดเด่นที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ในภูมิภาค รวมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมระดับโลก ซึ่งประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การใช้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมจุดแข็งของประเทศไทย 3 ประการ 1.ด้านเกษตรกรรมและอาหารประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะประเทศที่มีทรัพยากรการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นครัวโลก โดยรัฐบาลกำลังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงเกษตรกรรมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผ่านการใช้ AI หุ่นยนต์ และการเกษตรแบบแม่นยำ 2.เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย ซึ่งเปรียบเสมือนซอฟต์พาวเวอร์ที่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลและสร้างสีสันให้กับสังคม โดยประเทศไทยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการผ่อนคลายความเครียด และ 3.อุตสาหกรรมขั้นสูงที่มีความยั่งยืน โดยประเทศไทยให้ความสำคัญกับวาระโลกสีเขียว ผ่านการส่งเสริมอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG รวมถึงการขับเคลื่อนการลงทุนสีเขียวและการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้

นายกฯ ยังกล่าวถึงการส่งเสริมปัจจัยที่เพิ่มศักยภาพจุดแข็งของไทยให้ได้สูงสุด คือการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมุ่งเน้นไปที่ 2 ปัจจัยหลัก คือ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านการขยายโครงสร้างพื้นฐานและบริการดิจิทัล พัฒนาฟินเทค และเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ สร้างสรรค์นวัตกรรมและแข่งขันในระดับโลก รวมทั้งดึงดูดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น บริการคลาวด์  ศูนย์ข้อมูล และเซมิคอนดักเตอร์ และพัฒนาประชาชน โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผ่านโครงการเสริมทักษะและยกระดับทักษะ

“รัฐบาลมุ่งหวังที่จะบรรลุมาตรฐานสากลในหลายๆ ด้าน ควบคู่กับการคงไว้ของการทูตแบบสยาม อันเป็นเอกลักษณ์ของไทย ผ่านการรักษาสมดุลในการดำเนินความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ  โดยไทยได้สมัครเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานด้านต่างๆ ของไทย พร้อมทั้งเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ”

โอกาสนี้ นายกฯ ยังเน้นย้ำว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่มีความมุ่งมั่น และมีความพร้อมอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า  และขอให้ทุกคนร่วมกันสร้างโลกแห่งโอกาส สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองสำหรับทุกคน

ต่อมา น.ส.แพทองธารได้หารือกับนายนีคอล พาชีเนียน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอาร์เมเนีย โดยนายกฯ ได้กล่าวขอบคุณที่ให้การสนับสนุนในการเริ่มต้นเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (Thailand-EAEU FTA) ซึ่งอาร์เมเนียเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณการค้าและยังดึงเอาศักยภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ในเวลา 19.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองดาวอส) ณ ร้านอาหาร Damoro โรงแรม Morosani Schweizerhof เมืองดาวอส น.ส.แพทองธารเข้าร่วมงาน Thailand Networking Dinner Reception ซึ่งนายกฯ กล่าวขอบคุณหน่วยงานทีมไทยแลนด์และภาคเอกชนทุกท่านที่ได้ให้การสนับสนุนการจัดงาน Thailand Networking Dinner Reception ในครั้งนี้ และยินดีที่ได้พบกับผู้แทนจากบริษัทไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับ WEF ตลอดจน CEOs และผู้แทนจากบริษัทต่างประเทศ

ต่อมา น.ส.แพทองธารได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กและ X สรุปภารกิจเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 20-25 ม.ค. โดยได้กล่าวถึงการพบปะผู้นำและผู้มีวิสัยทัศน์ต่างๆ

น.ส.แพทองธารยังให้สัมภาษณ์โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจในการร่วมประชุม WEF ว่า ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่ได้มาพร้อมทีมไทยแลนด์ชุดใหญ่ ซึ่งการประชุมเพียง 3 วัน แต่ประกอบไปด้วยการพบหารือกับคณะนักธุรกิจและผู้นำของแต่ละประเทศมากถึงกว่า 20 ภารกิจ ประกอบด้วยการหารือกับ 11 บริษัทเอกชนชั้นนำระดับโลกซึ่งได้รับการตอบรับในการให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นอย่างดี เชื่อว่าหลายบริษัทที่เคยลงทุนในไทยอยู่แล้วจะลงทุนเพิ่มมากขึ้น ส่วนบริษัทใหม่ๆ ก็ให้ความสนใจมากที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นในเร็ววันนี้

นายกฯ กล่าวอีกว่า ในระดับประเทศได้เข้าเยี่ยมคารวะผู้นำประเทศและหัวหน้ารัฐบาลถึง 4 ท่าน ได้แก่ ประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส, นายกฯ อาร์เมเนีย, นายกฯ สาธารณรัฐคอซอวอ   และ ศ.มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ, ศ.เคลาส์ ชวาป ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum (WEF) ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับนานาอารยประเทศมากขึ้น

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า เรื่องสำคัญที่สุดอันถือเป็นประวัติศาสตร์ทางการค้าของไทยกับประเทศในสหภาพยุโรปที่ไทยได้ลงนามความตกลง FTA ไทย-EFTA กับ 4 ประเทศเป็นครั้งแรก ทำให้เป็นโอกาสที่ดีของสินค้าไทย ที่จะเข้าไปจำหน่ายในประเทศแถบยุโรปมากขึ้น ซึ่งการมาประชุมครั้งนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมาก ที่ได้มีโอกาสสื่อสารถึงโอกาสและศักยภาพของประเทศไทย และสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนของบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ด้วยที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้านความมั่นคงด้านอาหาร รวมทั้งรัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี พัฒนาคน ปรับกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมอีกด้วย อีกทั้งยังได้โปรโมตซอฟต์พาวเวอร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายกฯ เสร็จสิ้นภารกิจการเข้าร่วมประชุม WEF นายกฯ และคณะจะเดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 25 ม.ค.นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เมา24ชม.ไม่เว้นวันพระใหญ่

มีการพนันถูกกฎหมายยังไม่พอ!   นายกฯ สั่งทบทวนช่วงเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์-วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

ตอบซักฟอกทุกเรื่อง อิ๊งค์จ่อคุยพรรคร่วมสู้ศึกฝ่ายค้าน/แก้รธน.ส่อแท้ง

“แพทองธาร” ลั่นพร้อมตอบทุกเรื่องในศึกซักฟอก “ทวี” ยกข้อกฎหมาย ป.ป.ช.ขู่หากอภิปรายพาดพิง “ทักษิณ” เท้งโวไม่กลัวถูกฟ้อง รอวัดใจ “เสรีพิศุทธ์” ให้ข้อมูลชั้น 14