
สว.สีน้ำเงินเดือด ประกาศสงคราม! รองประธานวุฒิฯ รับไม่ได้ถูกกล่าวหาอั้งยี่ซ่องโจร อาชญากรรมและภัยต่อความมั่นคง เตรียมยื่นถอดถอนรัฐมนตรี พ่วงยื่นอภิปราย-แจ้งความ-เชิญสอบใน กมธ. สว.พันธุ์ใหม่ขวาง อ้างการถูกตรวจสอบเป็นเรื่องดี ความจริงจะได้ปรากฏ เป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง กล่าวถึงการเดินหน้าตอบโต้กรณีที่มีการยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับคดีฮั้วเลือกตั้งสว.ปี 2567 เป็นคดีพิเศษว่า จะให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการแจ้งความผู้ที่กล่าวหาทั้งภาครัฐและเอกชน ฐานทำให้วุฒิสภาเสียหาย ถูกเข้าใจผิด และในส่วนของกรรมาธิการวุฒิสภา จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่ และที่มาที่ไปของการมากล่าวหาวุฒิสภาร้ายแรงเรื่องอั้งยี่ซ่องโจร อาชญากรรม และภัยต่อความมั่นคง และจะเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในประเด็นการดำเนินงานในส่วนของดีเอสไอที่กล่าวหาวุฒิสภา เป็นไปด้วยเหตุและผลหรือไม่ โดยจะหารือกับสมาชิกวุฒิสภาอีกครั้ง แต่คาดว่าจะอภิปรายภายในสมัยประชุมนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะอภิปราย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนเดียวหรือไม่ รองประธานวุฒิสภาตอบเพียงว่า เป็นรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และต้องดูด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลัง
พล.อ.เกรียงไกรกล่าวอีกว่า วุฒิสภาจะพิจารณาเข้าชื่อเสนอให้ประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าเสียงน่าจะเพียงพอ
เมื่อถามว่า เรื่องนี้เป็นเกมการเมืองหวังล้ม สว.สีน้ำเงินหรือไม่ รองประธานวุฒิสภาเผยว่า คิดว่าโยงใยมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็อาจจะมีส่วนหนึ่ง แต่ย้ำว่าเรื่องนี้ทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสีย จึงต้องแถลงข่าวด่วนระหว่างการสัมมนาที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
"ผมทำงานด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มา 38 ปี แต่พอมาดูข้อกล่าวหาในเรื่องนี้ ผมรับไม่ได้ สมาชิกท่านอื่นก็เช่นเดียวกัน ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมา ทำตามหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2560" พล.อ.เกรียงไกร ซึ่งเป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว
นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา เผยว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการโต้กลับลักษณะเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นการแก้แค้น หรือตอบโต้ เพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบ อีกทั้งที่ผ่านมาสังคมได้มีการตั้งคำถามถึงการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของ สว.มาโดยตลอด การตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงอาจเป็นหนทางหนึ่งที่สมาชิกวุฒิสภาทุกคนจะได้พิสูจน์ตัวเองเพื่อให้สังคมได้ทราบข้อเท็จจริง ซึ่งหากไม่เป็นความจริงตามที่ถูกกล่าวหา ผู้กล่าวหาก็จำเป็นต้องชดใช้เยียวยาความเสียหาย และคืนศักดิ์ศรีให้ สว.ทุกท่านที่ถูกกล่าวหา
ปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง
ส่วนเรื่องที่ สว.ต้องการฟ้องร้องดำเนินคดีผู้กล่าวหานั้น สว.ที่จะฟ้องคดีจำเป็นต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากการขู่จะดำเนินคดีกับผู้กล่าวหา อาจเข้าข่ายการเป็นการฟ้องเพื่อปิดปาก หรือการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ (SLAPP) เนื่องจากกรณีนี้สังคมให้ความสนใจอย่างมาก และ สว.เองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้มาโดยตลอด ส่วนตัวมีความเห็นว่า สิ่งที่ สว.ควรทำคือ การชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมกับยอมรับการตรวจสอบจากทุกฝ่ายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมต้องเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็เพราะ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ให้อำนาจ DSI ในการทำคดีที่ซับซ้อน คดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล หรือคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก นอกจากนั้น DSI ยังมีอำนาจในการให้ความคุ้มครองพยาน เพื่อให้พยานรู้สึกปลอดภัยและสามารถให้การเป็นพยานในชั้นศาลได้...เรื่องนี้ สว.ที่จะลงชื่อฟ้องคดีกับผู้กล่าวหา จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการปกป้องตนเอง กับประโยชน์ที่สาธารณะจะพึงได้รับ เนื่องจากสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของสมาชิกวุฒิสภาทุกบาททุกสตางค์ล้วนมาจากภาษีของประชาชน ประชาชนจึงต้องสามารถตรวจสอบการทำหน้าที่ของ สว.ผ่านกลไกต่างๆ ได้
อีกทั้งเรื่องนี้ก็ได้มีผู้ไปร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ กกต.แล้ว จึงควรทำความจริงให้ปรากฏ การปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง กับการปิดกั้นประโยชน์สาธารณะ จึงเป็นคนละเรื่อง และในฐานะที่ สว. ได้ชื่อว่า สว.ของประชาชน จึงควรถ่อมตน ใจกว้าง และยอมรับการตรวจสอบ เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย และอย่างที่ได้พูดไปแล้วคือ หากสุดท้ายข้อกล่าวหาดังกล่าวพิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็จะต้องชดใช้เยียวยา และคืนศักดิ์ศรีให้กับวุฒิสมาชิกที่ถูกกล่าวหาทุกคน เรื่องนี้ถือเป็นหลักการพื้นฐานของหลักนิติธรรมที่ทุกคนต้องเคารพ
งงหนักข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร
นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการตอบโต้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่จะพิจารณารับคดีฮั้วเลือก สว.ปี 2567 เป็นคดีพิเศษว่า ในการประชุมคณะกรรมการกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) วันที่ 26 ก.พ. จะหารือถึงการดำเนินการเอาผิดฝ่ายที่เกี่ยวข้องกล่าวหา สว.เรื่องการฮั้วเลือก สว. จะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการประชุมวุฒิสภาวันที่ 23 ก.พ.นี้ จะมี สว.คนใดหยิบประเด็นดังกล่าวมาหารือในที่ประชุมหรือไม่ ยืนยันว่ากระบวนการเลือก สว.ทำถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนประชาธิปไตย
“ไม่เข้าใจผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ได้อย่างไร ยิ่งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร เป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรตามที่ดีเอสไอกล่าวหา ยิ่งงงหนัก จะไปเข้าข่ายได้อย่างไร สว.ทุกคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยไปพบกันที่โรงแรมตามที่มีการกล่าวหา เพิ่งมารู้จักกันในที่ประชุมหลังเป็น สว.แล้ว การจะเข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจรจะต้องรู้จักกันมาก่อน” นายพิสิษฐ์กล่าว
นายพิสิษฐ์กล่าวว่า ส่วนการมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อตอบโต้ สว.ที่ยื้อการแก้รัฐธรรมนูญนั้น ก็มีความเป็นไปได้ หรือจะมองเป็นเหตุประจวบเหมาะก็ได้ กรณีการร้องเรียนฮั้วเลือก สว. ร้องมาตั้งแต่ปลายปี 2567 แต่พอมีข่าวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ก็เลยมีการประโคมข่าวจับแพะชนแกะกันไป
'เด็จพี่' แนะสว.สีน้ำเงินตั้งสติ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สว.ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีวุฒิภาวะ เมื่อถูกกล่าวหา มีผู้ร้องต่อหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น กกต.หรือดีเอสไอ ก็ควรปล่อยให้กระบวนการสอบสวนดำเนินการไปตามกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ มีพยานหลักฐานอะไรแก้ต่างก็ควรหามาต่อสู้ ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
เขากล่าวว่า กลุ่ม สว.ที่ถูกกล่าวหา ถ้าไม่ผิดก็เป็นการพิสูจน์ตัวเอง ถือเป็นเรื่องดีซะอีก ดีกว่าออกมาตอบโต้ในลักษณะประกาศสงคราม จะยื่นถอดถอนรัฐมนตรีที่กำกับดูแลดีเอสไอ จะยื่นอภิปราย จะแจ้งความ แล้วยังเชิญรัฐมนตรีเข้าชี้แจงในกรรมาธิการ ทำอย่างนี้ประชาชนจะเข้าใจกันยังไง กินปูนร้อนท้องหรือเปล่า ร้อนตัวหรือไม่ กลุ่ม สว.ที่ถูกร้องเรียนดีเอสไอ ก็ยังไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร กลุ่มใด ท่านเล่นออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมสวนกลับหน่วยงานตรวจสอบ คนเขาก็รู้กันหมดว่าใครเป็นใคร แล้วยังสะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะ คนกลั่นกรองกฎหมาย ออกกฎหมาย คนที่จะเลือกองค์กรอิสระ ควรต้องทำงานเป็นอิสระจริงๆ ต้องเคารพกฎหมายบ้านเมือง เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรม
“อยากเรียกร้องให้กลุ่ม สว.ที่ออกมาแถลงข่าวตอบโต้เอาคืน ตั้งสติ กลับไปเตรียมหลักฐานชี้แจงเพื่อพิสูจน์ตัวเองน่าจะดีกว่า ปล่อยให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีผู้ไปร้องเรียน ตรวจสอบทำหน้าที่โดยอิสระน่าจะดีกว่า คงจะดูสง่างามมากกว่า ทองแท้ไม่กลัวไฟ คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถ้าท่านกล้าแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เมื่อพี่น้องประชาชนรับทราบ ท่านก็ต้องไม่กลัวการตรวจสอบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ตนขอตั้งคำถามไปยังกลุ่ม สว.เหล่านี้ว่า สิ่งที่ท่านกำลังจะทำเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ เป็นการสกัดกั้นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือเปล่า ดูเหมือนน่าจะเป็นการข่มขู่หน่วยงานและข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ ตนขอให้กำลังใจผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องฮั้ว สว.ในครั้งนี้ และขอให้พี่น้องประชาชนร่วมให้กำลังใจด้วย สว.กลุ่มนี้ก็ไม่ควรกลัวการตรวจสอบ เดี๋ยวจะเข้าลักษณะว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เรื่องนี้ประชาชนจับตาดูอยู่” นายพร้อมพงศ์กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ประทานผ้าไตร-ปัจจัย ‘สามเณร’เหยื่อโจรใต้
โจรใต้เหี้ยม! ดักยิงรถโรงพักสะบ้าย้อยขณะรับพระไปบิณฑบาต สามเณรลูกตำรวจมรณภาพ
คุก‘เนตร-ชัยณรงค์’ ‘สมยศ’รอดคดีบอส
ศาลอาญาคดีทุจริตสั่งจำคุก “เนตร นาคสุข” 3 ปี สั่งคดีเปลี่ยนความเร็วรถ
สั่งรื้อเพิ่มเยียวยาแผ่นดินไหว
นายกฯ สั่งกรมบัญชีกลางเร่งแก้ระเบียบเหยื่อแผ่นดินไหวให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
แพทองธารพร้อมบินคุยสหรัฐ
"นายกฯ อิ๊งค์" แจงเลื่อนเจรจาภาษีทรัมป์ เหตุสหรัฐตีกลับให้ทบทวนมาตรการ
อนิจจัง!ครม.อิ๊งค์ เก้าอี้นายกฯยังไม่จีรัง/จูบปากหนุนกาสิโน
“อุ๊งอิ๊ง” ปลง! บอกใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง แม้แต่ตำแหน่งนายกฯ
'ดีเอสไอ' หิ้ว 3 นอมินี บ.ไชน่าเรลเวย์ฯ ฝากขัง ก่อนศาลให้ประกันคนละ 3 แสน
พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ควบคุมตัวนายประจวบ ศิริเขตร นายมานัส ศรีอนันท์ และนายโสภณ มีชัย ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าว