หั่นดอกเบี้ยตามใจรบ. คนไทย3.6แสนตกงาน

“กนง.” 6 ต่อ 1 เสียง ยอมหั่นดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 2.00% ต่อปี หลังประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ  แจงยังไม่ได้รับหนังสือทางการจาก ครม. สศช.เผยคนว่างงาน 3.6 แสนคน หนี้ครัวเรือนขยายตัวชะลอลง “เผ่าภูมิ” ยันยังไม่สรุปอายุ 16-20 ปี ได้เงินหมื่นเฟส 3 ก่อน ชี้ต้องรอบอร์ดกระตุ้น ศก.เคาะต้น มี.ค.

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายทางการเงิน  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)   เปิดเผยผลการประชุมว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6  ต่อ 1 เสียง ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00% ต่อปี ให้มีผลทันที  พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.5% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.9% เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งเป็นผลจากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ยืนยันว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ยังไม่ได้เข้าสู่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลงแต่อย่างใด แต่เป็นการพิจารณาตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่พบว่ามีการชะลอตัวลง ทำให้ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยต้องลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับ 3 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ เศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน โดยทั้งหมดต้องอยู่ในระดับที่สมดุล และยังเชื่อมั่นว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวจะเพียงพอรองรับความเสี่ยงที่อาจจะมีในอนาคตได้พอสมควร รวมทั้งประเมินว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะมีส่วนในการช่วยเรื่องต้นทุนของภาคธุรกิจ ช่วยลดภาระของลูกหนี้ได้บ้าง รวมถึงช่วยเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่มีความเสี่ยงในด้านต่ำ

 “กนง.ยังไม่ได้รับหนังสือจากคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ แต่ได้มีการติดตามจากสื่อ  และพยายามเอาตรงนี้มาพูดคุยกัน โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ ได้มีการ In Put ข้อมูลจากทุกฝ่าย ทั้งฝั่งการเมืองและภาคธุรกิจ ซึ่งได้มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง และนำมาพิจารณาประกอบว่ามีตัวเลขประกอบการประเมินที่ครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยในครั้งนี้ กนง.ได้เห็นภาพเศรษฐกิจจากข้อมูลในไตรมาส 4/2567 และข้อมูลภาคสนามที่มี ทำให้เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่ประเมินพอสมควร ขณะเดียวกันก็มีการพูดคุยกันเยอะในแง่ช่องว่างของนโยบายทางการเงิน ซึ่งกรรมการให้น้ำหนักเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ว่าการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ช่องว่างนโยบายการเงินจะรองรับได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเราเสียพื้นที่ไปแล้ว 1 ครั้ง ดังนั้น กนง.ได้มีการชั่งน้ำหนักในแง่เศรษฐกิจแล้ว และคิดว่าเหมาะสมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในครั้งนี้” นายสักกะภพระบุ

โดยคณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามภาคการผลิตที่อาจถูกกดดันต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน  รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มลดลง รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การแข่งขันด้านราคาที่สูงจากสินค้านำเข้า โดยอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับดังกล่าวไม่ได้มีสัญญาณนำไปสู่ภาวะเงินฝืดหรือภาวะที่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง และยังมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและต้นทุนของผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ประเมินในครั้งนี้ และสามารถรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม โดยเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างซึ่งจำเป็นต้องใช้นโยบายเพิ่มขีดความสามารถของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในการยกระดับศักยภาพอย่างยั่งยืน

ทางด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 ปี 2567 ว่า การจ้างงานลดลงเล็กน้อย โดยผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 40.1 ล้านคน ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2566 เล็กน้อยที่ 0.4% ผลมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ 3.6% ขณะที่ภาพรวมสาขานอกภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้ที่ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเฉพาะสาขาโรงแรม ภัตตาคารที่ขยายตัว 9.4% และสาขาการขนส่ง เก็บสินค้าที่ขยายตัวตามการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนสาขาการผลิตขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.3% จากอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตยานยนต์ และการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี การจ้างงานยังหดตัวลงต่อเนื่อง

สำหรับอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 0.88% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 3.6 แสนคน ซึ่งในกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อนส่วนใหญ่ออกมาจากสาขาการผลิตและสาขาการขายส่ง/ขายปลีก  และอัตราการมีงานทำ ปี 2567 อยู่ที่ 98.6% ทรงตัวจากปี 2566 โดยจำนวนผู้มีงานทำมีจำนวน 39.8 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ 0.3%

นายดนุชาเผยว่า ประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การกีดกันทางการค้าในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษีจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกและการจ้างงาน อีกทั้งไทยยังมีประเด็นด้านการจัดการการค้ามนุษย์ ซึ่งอยู่ในระดับ Tier 2 มาตั้งแต่ปี 2565 2.การตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างชาติเพื่อป้องกันการทำงานอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งยังพบการกระทำผิดของสถานประกอบการและแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก และ 3.แรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์จำนวนมากยังไม่ได้ใช้สิทธิลาคลอดเต็มจำนวน โดยเฉลี่ยใช้เพียง 30-59 วัน จากสิทธิวันลาคลอดทั้งสิ้น 98 วัน

เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า ปัญหาหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือน ปรับลดลงต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 2567 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งการชะลอตัวดังกล่าว ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีปรับลดลงมาอยู่ที่ 89.0%

วันเดียวกัน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ว่า คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะมีการประชุมในช่วงต้นเดือน มี.ค.2568 เพื่อหาข้อสรุปและความชัดเจนเกี่ยวกับการเดินหน้าโครงการดังกล่าว  โดยยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องการแจกเงินเป็นช่วงอายุ 16-20 ปี จะได้รับเงินก่อนแต่อย่างใด

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องมาพิจารณาก่อนว่าการดำเนินการจะออกมาในรูปแบบไหน อย่างไร และช่วงไหน โดยเบื้องต้นจะต้องขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ที่ผ่านเกณฑ์ด้วย เพราะขณะนี้มีเพียงข้อมูลตัวเลขผู้ที่ลงทะเบียนเข้ามาเท่านั้น ยังไม่มีตัวเลขผู้ที่ผ่านเกณฑ์เฟส 3 ดังนั้นต้องมาคัดกรองตามหลักเกณฑ์ด้วย ซึ่งมีรายชื่อไม่ซ้ำกับที่ได้แจกไปแล้วในเฟส 1-2 ประมาณ 20 ล้านคนบวกๆ หลังจากนี้จะต้องมาคัดกรองตามเกณฑ์รายได้ เงินฝากและอายุ จึงจะได้ข้อสรุปในส่วนนี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน

ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี

อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก

นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม