‘ทนาย’แย้ง‘ทวี’ ไร้เหตุ‘โจ้’ผูกคอ

"ทวี" ยัน "ผกก.โจ้" ผูกคอเสียชีวิตหลังขังเดี่ยว พบรายงานเป็นผู้ป่วยจิตเวช เตรียมขยายผลสอบปมญาติร้องถูกทำร้ายร่างกาย ขณะที่ "ราชทัณฑ์​"  เผยใช้ผ้าขนหนูผูกคอ ทนายโตทันควัน  ยันลูกความไม่สมัครใจขอขังเดี่ยวและไม่ป่วยจิตเวช ชี้ไม่มีแรงจูงฆ่าตัวตาย เปิดจดหมายแม่ ถูกกลั่นแกล้ง ระบุมีรับรองแพทย์จากทัณฑสถาน ระบุผลการตรวจร่างกาย 13 ก.พ. ได้รับบาดเจ็บบริเวณชายโครงซ้าย จากการกระแทกของแข็งไม่มีคม และพบแผลฟกช้ำเป็นวงเรียงต่อกันเป็นแนวใต้ราวนมซ้าย

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 ที่บริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรม ได้นำร่างของพ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้  ไปชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม โดยมีญาติที่เดินทางออกมาจากภายในเรือนจำ และปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่ได้ให้นายวีรศักดิ์ นาคิน ทนายความของผู้กำกับโจ้ ชี้แจงและนำเอกสารมอบให้กับสื่อมวลชนแทน

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงกรณีการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ว่า เรื่องนี้ตนเพิ่งได้รับรายงานจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์เมื่อช่วงเวลาก่อนเที่ยงคืนที่ผ่านมา ว่าผู้กำกับโจ้เสียชีวิตภายในเรือนจำ ด้วยการผูกคอตายกับลูกกรงภายในห้องขังแยก โดยยังไม่ทราบว่าใช้เสื้อตัวเองหรือผ้าขนหนู สำหรับเหตุผลที่ต้องแยกตัวผู้กำกับโจ้มาขังเดี่ยว เนื่องจากได้รับรายงานจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าผู้กำกับมีภาวะหวาดระแวง ทำร้ายตัวเอง และเป็นผู้ป่วยจิตเวช

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีปัญหากับเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ จนกระทั่งถูกทำร้ายร่างกาย รวมถึงมีญาติไปแจ้งความให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวถึง 2 ครั้ง แต่ทางเรือนจำไม่ให้พนักงานสอบสวนมาร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ อีกทั้งญาติยังมีการส่งเอกสารร้องเรียนเรื่องการถูกทำร้ายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น ในส่วนตรงนี้ตนยังไม่ทราบและยังไม่เห็นรายละเอียด แต่ก็จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อเท็จจริงทั้งหมดเพื่อให้ปรากฏต่อสังคม

ขณะที่กรมราชทัณฑ์เปิดเผย​ว่า ได้รับรายงานจากเรือนจำกลางคลองเปรมว่า  เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 20.50 น. เจ้าพนักงานเรือนจำปฏิบัติหน้าที่เวรพยาบาลได้แจ้งเหตุผู้ต้องขังเสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อนายธิติสรรค์ อุทธนผล หรือโจ้ คดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อเสรีภาพ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. 2564 ตามหมายจำคุกระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ต้องจำมาแล้วในเรือนจำ 3 ปี 6 เดือน 13 วัน โดยรับตัวผู้ต้องขังเข้าคุมขังเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2564 ปัจจุบันถูกคุมขังที่ห้องแยกการควบคุม แดน 5 

เรือนจำได้ตรวจสอบประวัติการรักษาพบว่า นายธิติสรรค์มีโรคประจำตัว คือ ภาวะหัวใจสั่น (Essential tremor) มีไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia) และมีอาการป่วยด้วยโรคทางจิตเวชวิตกกังวล (Anxiety disorder) ซึ่งได้รับการรักษาและรับยาต่อเนื่อง โดยพบจิตแพทย์ครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2568 ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และมีนัดพบจิตแพทย์ในเดือนเม.ย.2568 ขณะควบคุมในเรือนจำ ผู้ต้องขังมีพฤติกรรมหวาดระแวงกลัวผู้ต้องขังอื่นทำร้าย เนื่องจากเป็นอดีตข้าราชการตำรวจ เรือนจำจึงได้รับคำร้องของผู้ต้องขังและพิจารณาอนุญาตให้แยกการควบคุมจากผู้ต้องขังอื่น และยังเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในเรือนจำได้เป็นปกติ

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2568 ช่วงเที่ยง ผู้ต้องขังได้รับการเยี่ยมเยียนจากภรรยา ซึ่งเจ้าพนักงานเรือนจำไม่พบเหตุผิดปกติแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อเวลา 20.25 น. เจ้าพนักงานเวรรักษาการณ์     ขณะกำลังเดินไปจ่ายยาประจำตัวให้กับนายธิติสรรค์ พบว่าผู้ต้องขังนั่งหลังพิงกับประตูห้องขัง จึงได้พยายามเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงได้แจ้งพัศดีเวรและพยาบาลเวรเข้าเปิดห้องขังเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนตามหลักวิชาชีพ แต่พบว่าผู้ต้องขังใช้ผ้าขนหนูขนาดเล็กผูกคอกับประตูห้องขัง ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียก ไม่รู้สึกตัว ปลายนิ้วมือซีดเขียวคล้ำ ไม่พบชีพจรบริเวณหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ จึงได้แจ้งผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ ในเบื้องต้น เรือนจำได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าทางเดินของห้องขังผู้ต้องขังดังกล่าว   ซึ่งไม่พบว่ามีผู้ใดเข้า-ออกห้องดังกล่าวแต่อย่างใด พร้อมทั้งแจ้งพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ แพทย์ เจ้าพนักงานปกครอง เพื่อดำเนินการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต พร้อมทั้งจะได้เชิญญาติเพื่อรับทราบต่อไป

กรมราชทัณฑ์​ขอยืนยันว่า ไม่มีเจ้าพนักงานเรือนจำหรือผู้ต้องขังรายใดทำร้ายนายธิติสรรค์ และขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้ต้องขัง ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นที่ปรากฏโดยทันที และขอเรียนว่า เรือนจำได้ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดอย่างเคร่งครัดโดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ต้องขัง และดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชนภายใต้มาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขัง (SOPs) และการปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (ข้อกำหนดแมนเดลา) เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ต้องขังทุกคน                  

ด้านนายวีรศักดิ์ นาคิน ทนายความ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้กำกับโจ้ได้ฝากขอโทษพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดที่มีการคลุมถุงดำ โดยในวันนี้ครอบครัวของผู้กำกับโจ้เสียใจและยังติดใจกับสาเหตุและแรงจูงใจการเสียชีวิต  เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 ม.ค.68  ทางญาติได้มอบหมายให้ตนไปแจ้งความที่ สน.ประชาชื่น กรณีเรื่องผู้กำกับโจ้ถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำทำร้ายร่างกาย โดยในเอกสารระบุชื่อผู้คุมที่เป็นคู่กรณีไว้

ต่อมาจึงมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยผู้กำกับโจ้ตามระเบียบ โดยแจ้งว่าผู้กำกับโจ้ขัดขืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ จนทำให้มีการย้ายแดนขังและห้องขังแยก ซึ่งเป็นไปตามคำสั่ง ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม ที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้กำกับโจ้ ตามที่ทางเจ้าหน้าที่อ้างนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากตนไม่เห็นเอกสารลงชื่อยินยอมจากผู้กำกับโจ้ ซึ่งการแจ้งความมีครั้งเดียว แต่ทางครอบครัวได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องขอความเป็นธรรมอีกหลายหน่วยงาน

ภายหลังจากแจ้งความครั้งแรก ผู้กำกับโจ้ต้องการให้ญาติกับทนายความเข้าไปด้วย แต่ทางเรือนจำไม่อนุญาต ครั้งที่สองจึงมีการยื่นใหม่ โดยระบุชื่อทนายและญาติ ทางเรือนจำก็แจ้งว่าขอตรวจสอบก่อนว่าในหนังสือมอบอำนาจมีการเซ็นจริงหรือไม่ ส่วนกรณีที่มีรายงานเรื่องรอยฟกช้ำตามร่างกายของผู้กำกับโจ้ ตนรับทราบใบความเห็นแพทย์แล้ว

ส่วนที่ระบุว่าผู้กำกับโจ้เป็นผู้ป่วยจิตเวชนั้น ทนายวีรศักดิ์ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีการเข้าเยี่ยมผู้กำกับโจ้มาเป็นเวลานาน ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ญาติก็ได้เข้าเยี่ยมก็ยังพบว่ามีอาการปกติ และยังพูดคุยถึงการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ เนื่องจากในศาลชั้นต้นสั่งจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งยังพูดถึงการใช้ชีวิตในอนาคตหลังออกจากเรือนจำ และที่ผ่านมาตนเองก็ได้เข้าเยี่ยมมาเป็นเวลานาน หลังจากมารับช่วงต่อเป็นทนายเมื่อปี '66 ก็พบว่าผู้กำกับโจ้ไม่ได้มีความเครียดหรือกังวลที่จะนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง เพราะคดีเรื่องคลุมถุงดำถูกพิพากษาไปแล้ว ซึ่งคดีอยู่ชั้นอุทธรณ์ แต่ส่วนคดีที่อยู่ ป.ป.ช. ขั้นตอนนี้ระงับการสอบสวนชั่วคราว จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะทำให้ผู้กำกับโจ้ฆ่าตัวตาย ซึ่งมูลเหตุเชื่อว่าอาจจะถูกบีบให้ยินยอมเรื่องการสอบวินัย หลังจากที่ไปแจ้งความ

ทั้งนี้ มีการเผยแพร่เอกสารหนังสือร้องเรียน ที่เขียนโดย นางสาวจันทร อุทธนผล  แม่ของอดีตผู้กำกับโจ้ ส่งถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568

เนื้อความในจดหมายระบุว่า เป็นเรื่องการกลั่นแกล้งและการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่ควบคุม ขอร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ควบคุมที่ชื่อว่า นายสิทธิพร แก้วคำบ้ง ซึ่งมีการกระทำส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัย และสิทธิขั้นพื้นฐานของนักโทษอย่างร้ายแรง

แม่ของอดีตผู้กำกับโจ้ ได้เขียนบรรยายรายละเอียดถึงพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาช่วงแรกคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปลายปี 2567 ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม เหตุการณ์เริ่มต้นจากมีนักโทษรายหนึ่ง ชื่อว่า นายสุรเชษ พูดใส่ร้ายอดีตผู้กำกับโจ้ ทำให้ผู้คุมหลายคนมีทัศนคติที่ไม่ดีและต่อว่าอดีตผู้กำกับโจ้ และนายสุรเชษยังขู่จะทำร้ายร่างกายอดีตผู้กำกับโจ้หลายครั้ง ซึ่งอดีตผู้กำกับโจ้คาดว่า สาเหตุที่นายสุรเชษไม่พอใจตนเอง เป็นเพราะเคยขอร้องให้ไปสูบบุหรี่ไกลจากพื้นที่ห้องนอนของตัวเอง

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมที่ชื่อนายสิทธิพรเริ่มมีพฤติกรรมกลั่นแกล้งอดีตผู้กำกับโจ้ โดยเรียกเข้าไปด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงภายในห้องส่วนตัว รื้อค้นสิ่งของส่วนตัว เช่น เอกสารสำคัญทางคดี จนทำให้เอกสารเสียหาย และพยายามที่จะตั้งเรื่องเอาผิดอดีตผู้กำกับโจ้

นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์การกลั่นแกล้ง เช่น ยึดเอกสารสำคัญทางคดี ซึ่งอดีตผู้กำกับโจ้จำเป็นต้องใช้ข้อมูลในการขึ้นศาล โดยอ้างว่านักโทษไม่สามารถเก็บไว้ได้ ต้องนำออกไปจากเรือนจำ แต่ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ระบุว่า นักโทษสามารถเก็บรักษาเอกสารทางคดีไว้กับตนเองได้  เข้ายึดพัดลมที่อดีตผู้กำกับโจ้ขออนุญาตนำเข้ามาอย่างถูกต้อง เพราะมีโรคประจำตัวคือ โรคหัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งแพทย์ระบุให้หลีกเลี่ยงอากาศร้อนและให้ใช้พัดลมป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ พยายามจะยึดแว่นตาดำของอดีตผู้กำกับโจ้ทั้งที่มีใบรับรองแพทย์ยืนยันถึงความจำเป็นในการใช้งาน เนื่องจากอดีตผู้กำกับโจ้เกิดอุบัติเหตุที่ดวงตาขณะรับโทษในเรือนจำทำให้ดวงตาไม่สามารถรับแสงได้

เหตุการณ์ทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของอดีตผู้กำกับโจ้ จนทำให้สุขภาพทรุดหนัก มีอาการตัวสั่น โรคหัวใจกำเริบ ต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล จนแพทย์ต้องปรับยารักษาให้แรงมากขึ้น

ส่วนเหตุการณ์ช่วงที่สองเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2568 โดยเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 อดีตผู้กำกับโจ้พบว่า นายสุรเชษเล่นเกมและดูสื่ออนาจาร ซึ่งผิดระเบียบของเรือนจำ จึงพูดกับนายสุรเชษว่าการกระทำนี้มีความผิด  แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมที่ชื่อนายสิทธิพรด่าทอ และต่อย-ผลัก จนเกิดรอยช้ำขนาดใหญ่บนร่างกาย

ต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2568 นายสิทธิพรก็ตั้งข้อกล่าวหาว่าอดีตผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมกระด้างกระเดื่อง และให้นักโทษในความดูแลของตัวเองเป็นพยานยืนยัน อดีตผู้กำกับโจ้จึงถูกย้ายไปยังแดน 5 และถูกขังในซอย

แม่ของอดีตผู้กำกับโจ้ระบุเพิ่มเติมว่า  ข้อมูลที่กล่าวมาในจดหมาย เป็นเพียงบางส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น และยังทราบว่า นายสิทธิพรยังมีพฤติกรรมกันแกล้งและกดดันนักโทษคนอื่นด้วย จึงขอร้องเรียนให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมของนายสิทธิพรอย่างละเอียด และดำเนินการทางวินัยหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ขอให้มีการนำตัวอดีตผู้กำกับโจ้ออกจากการคุมขังพิเศษที่แดน 5 โดยเร็ว ขอให้แยกนายสิทธิพรออกจากพื้นที่ใกล้ชิดกับอดีตผู้กำกับโจ้ เพราะกังวลว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัย และขอให้อดีตผู้กำกับโจ้ได้รับการคุมขังในพื้นที่ปลอดภัย โดยต้องเป็นแดนที่ไม่เสี่ยงอันตรายจากการถูกกลั่นแกล้ง

ครอบครัวรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมากจากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ควบคุมดังกล่าว ที่ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจของอดีตผู้กำกับโจ้ และเกรงว่าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยเร็ว อาจนำไปสู่ความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ท้ายเอกสาร ยังได้มีการแนบใบรับรองแพทย์จากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งแพทย์ได้ระบุผลการตรวจร่างกายของอดีตผู้กำกับโจ้ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า ได้รับบาดเจ็บบริเวณชายโครงซ้าย จากการกระแทกของแข็งไม่มีคม และพบแผลฟกช้ำเป็นวงเรียงต่อกันเป็นแนวใต้ราวนมซ้าย

นอกจากนี้ ยังมีเอกสารที่ทนายความของอดีตผู้กำกับโจ้ ได้ไปแจ้งความเรื่องถูกทำร้ายร่างกายไว้ที่ สน.ประชาชื่น เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน

ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี

อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก

นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม