"เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" พระราชทานเงินค่ารักษาพยาบาล-อาหารแก่ทีมสุนัข K9 สถานทูตจีนมอบอุปกรณ์สนับสนุนกู้ภัย "ผู้ว่าฯ ชัชชาติ" แจงปฏิบัติการวันที่ 10 ยังลุยค้นหาผู้รอดแม้โอกาสน้อยลง พบเสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ปรับแผนสู่ภารกิจมาราธอน ผนึกร่วมทีมแคนาดา “อนุทิน” รับสนิทผู้ว่าการ สตง. โต้ช่วยปมตึกถล่ม ซัดเพจกุข่าวเท็จ "ซิน เคอ หยวน" นัดสื่อเคลียร์ 9 เม.ย. “รมช.พาณิชย์” เร่งสอบเพิ่มอีก 37 บริษัท
เมื่อวันที่ 6 เมษายน ที่บริเวณพื้นที่ก่อสร้างตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เขตจตุจักร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โปรดให้พลเอก ศิวะ ภระมรทัต กรมวังผู้ใหญ่ วังศุโขทัย เชิญเงินพระราชทานจำนวน 200,000 บาท ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสุนัข และซื้ออาหารให้กับสุนัข "เคไนน์" (K9) ที่มาปฏิบัติหน้าที่ในการค้นหาผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตในซากตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เขตจตุจักร รวมทั้งเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ การได้รับพระกรุณาในครั้งนี้ ยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
วันเดียวกัน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารกรุงเทพมหานคร รับมอบสิ่งของจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยมี นายอู๋ จื้ออู่ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เป็นผู้มอบ ประกอบด้วย เต็นท์ จำนวน 2 หลัง, เครื่องปรับอากาศ จำนวน 5 ชุด, หน้ากากอนามัย 95 จำนวน 1,300 ชิ้น, ถุงมือกู้ภัย 200 คู่ และน้ำดื่มจำนวนมาก เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัยในการค้นหาผู้ประสบภัย รวมถึงคณะสื่อมวลชนที่มาทำข่าวในเหตุการณ์แผ่นดินไหวตึกถล่ม ณ บริเวณสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถนนกำแพงเพชร 2
นายชัชชาติเปิดเผยถึงความคืบหน้าสถานการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวว่า การทำงานเป็นไปตามยุทธวิธี คือนำเครื่องจักรกลหนักเข้าเปิดทาง จุดที่เราคาดว่าพบผู้เสียชีวิตเพิ่มบริเวณโซน C ทั้งนี้ ปัญหาหลักคือการเอาเนินด้านบนลง เนื่องจากมีความไม่ปลอดภัยกับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งการเอาเนินลงต้องทำทางเข้าไป เมื่อคืนวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมาจึงมีการตัดอาคารด้านหน้าออกเพื่อเปิดทางให้นำรถขนาดใหญ่ที่สามารถเอื้อมได้ถึงเข้าไปจัดการกองเนินด้านบนดังกล่าว ปัจจุบันดำเนินการเสร็จแล้ว จากนั้นจะมีรถเข้ามา 2 ทางคือ ทางด้านหน้าและด้านข้าง ซึ่งด้านข้างเองมีการเจาะออกทางด้านหลังซึ่งเป็นพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยเมื่อคืนวันที่ 5 เม.ย. พบร่างผู้เสียชีวิตอีก 2 ราย ซึ่งตอนนี้นำออกมาแล้วทั้ง 2 ราย สถานการณ์ขณะนี้ดีขึ้น เริ่มเอาจุดที่มีความไม่มั่นคงออก เครื่องมือหนักเริ่มเข้าพื้นที่ได้มากขึ้น น่าจะพบผู้ติดอยู่ข้างใน แต่โอกาสผู้รอดชีวิตคงน้อยลง และพบผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น
"ตอนนี้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนจากการวิ่งสปรินท์เป็นวิ่งมาราธอน คือการกู้ชีพเปรียบเหมือนการวิ่งแข่ง 100 เมตร แต่ตอนนี้เชื่อว่าเป็นเกมยาวรักษาความต่อเนื่อง จัดทีมงานให้เหมาะสม ต้องดูแลผู้ทำงานให้อยู่ทำงานกับเราได้ระยะยาว การบริหารจัดการพื้นที่ด้านในดีขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ จิตอาสาพระราชทาน สำหรับทีมกู้ภัยจากแคนาดาที่เดินทางมาถึงเมื่อวานเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว คาดว่าจะเข้าไปยังประเทศเมียนมา แต่ไม่สามารถเข้าได้ จึงแวะมายังประเทศไทย คิดว่ามี K9 มาด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกัน จากนี้คงต้องดูว่าจะปรับแผนทำงานอย่างไรให้เข้ากัน" ผู้ว่าฯ กทม.ระบุ
อย่างไรก็ตาม เรื่องการค้นหาผู้รอดชีวิตหลังจากผ่านมา 10 วัน ยังเหมือนเดิม คือยังมีความหวัง เรามีทีมกู้ชีพอยู่ประจำจุด หากมีช่องหรือโพรงใหญ่จะส่งทีมกู้ภัย และ K9 เข้าไปสำรวจก่อนว่ามีสัญญาณชีพหรือไม่ ทำงานควบคู่กันไปทั้งให้เครื่องจักรหนักทำงาน 5-6 ชั่วโมง หากถึงจุดที่มีโพรงให้เครื่องจักรพักแล้วกู้ภัยเข้าสำรวจ ตอนนี้เริ่มเห็นโพรงที่จะมีการเชื่อมโยงกันระหว่างโซน B กับ โซน C ซึ่งโซน B กับ C จะเป็นจุดเข้า-ออกของคนงาน เพราะคนงานจะเข้า-ออกตึกหลังซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน และจะมีบันไดที่เชื่อมเพื่อให้คนงานเข้า-ออก ทั้งเช้า เที่ยง เย็น เราจึงคาดการณ์ว่าจะมีโพรงอยู่ด้านล่าง ซึ่งร่างที่เราพบ 2 รายก็อยู่บริเวณนี้ เข้าใจว่ามาจากการหนีออกไปทางสำนักงาน และตอนนี้เรามีโปรแกรมที่ใช้ระบุว่าคนที่เจอมาจากชั้นไหน บริษัทอะไร ทำให้เข้าใจการหนีของคนได้ละเอียดขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีนี้ก็ได้มาจากทีมกู้ภัยนานาชาติ
ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีเพจ CSI LA โพสต์ภาพความสนิทสนมของนายอนุทินกับนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการ สตง. และตั้งข้อสังเกตถึงการสอบสวนเรื่องตึก สตง.ถล่มว่า สนิทสนมกับนายมณเฑียรจริง และเพื่อนรักกันสนิทกันมา 10 กว่าปีแล้ว เพราะเรียนหลักสูตร วปอ.ด้วยกัน ตนเป็นประธานรุ่น และนายมณเฑียรเป็นเลขาฯ รุ่น แต่ข้อมูลที่บอกว่ามีการช่วยเหลือกันเป็นเรื่องตึก สตง.ถล่ม ข้อมูลเท็จ เป็นการนั่งเทียนเขียนข่าว
“ความเป็นเพื่อนกันไม่รู้จะทำอย่างไร ก็รู้จักกันมาก่อน แต่ข้อเท็จจริงก็คือไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม อาคารหลังนี้ท่านมณเฑียรไม่ได้เป็นคนลงนามสัญญา เพราะเพิ่งเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ สตง.ไม่ถึงครึ่งปี อาคารจะเสร็จอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกัน พยายามขอให้ให้ข้อมูลบนพื้นฐานความเป็นจริง” นายอนุทินกล่าว และว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วมีความผิด ไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ การสอบสวนทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุได้มีการพูดคุยกับนายมณเฑียร ซึ่งเจ้าตัวเครียด
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10ฯ ที่มีชื่อคนไทย แต่คุณสมบัติอาจจะไม่เหมาะนั้นว่า ได้ตรวจสอบคนไทยแล้ว จากลักษณะมีเหตุผลว่าจะเป็นนอมินี ในทางกฎหมายไทยต้องมีหลักฐานการพิสูจน์ได้ว่าเป็นนอมินีจริง ต้องมีเอกสาร เช่น หลักฐานการเสียภาษี บัญชีเงินฝากว่ามีเงินลงทุนหรือไม่ ที่ตัวประกอบไม่จำเป็นต้องพบตัว จะหลบอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าหลักฐานมา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดีเอสไอ ต้องสอบสวน เชื่อว่าจะมีการตั้งข้อหาในเร็วๆ นี้ ส่วนอีก 37 บริษัทที่เชื่อมโยงกันนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะตรวจสอบทั้งหมด และจะส่งข้อมูลให้ดีเอสไอ และ 13 บริษัทที่เกี่ยวกับไชน่า เรลเวย์ ส่งข้อมูลให้กับดีเอสไอเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเฉิน เจี้ยนฉี และนายสมพัน ปันแก้ว กรรมการบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ได้ส่งหนังสือเชิญสื่อมวลชน ขอแถลงข่าวข้อเท็จจริงกรณีบริษัทถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นที่ผลิตขึ้นโดยไม่ครบถ้วนตามมาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ในการก่อสร้างอาคาร สตง.แห่งใหม่ ในวันพุธที่ 9 เมษายน เวลา 14.00 น. ณ ห้องลีลาวดี โรงแรมรามาการ์เด้นส์
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่องที่คนกรุงเทพฯ กังวลใจภายหลังการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว พบว่า ร้อยละ 68.09 ระบุว่า อาคารต่างๆ จะมีความมั่นคง ปลอดภัยแค่ไหน รองลงมา ร้อยละ 59.47 หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ระบบเตือนภัยจะมีประสิทธิภาพหรือไม่, ร้อยละ 43.97 แผ่นดินจะไหวอย่างรุนแรงอีกเมื่อไร, ร้อยละ 33.51 หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก การจัดการจราจรและการขนส่งสาธารณะจะมีประสิทธิภาพหรือไม่, ร้อยละ 33.21 หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก เราควรเตรียมตัวและรับมืออย่างไร
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ ต่อกรณี “คนไทยกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว” พบว่า มีความกังวลต่อภัยพิบัตินี้ ร้อยละ 84.91 จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้ประชาชนค่อนข้างกังวลต่อความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ร้อยละ 48.83 ทั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบติดตาม แจ้งเตือนภัยพิบัติที่รวดเร็ว แม่นยำ ร้อยละ 72.18 รองลงมาคือ ยกระดับเรื่องภัยพิบัติเป็นวาระแห่งชาติ ร้อยละ 45.10
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ถอดบทเรียนตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวในใจประชาชน พบว่า ร้อยละ 86.9 ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ตึกถล่มจากแผ่นดินไหว, ร้อยละ 84.6 ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแจกเงินเยียวยาโดยไม่ล่าช้า, ร้อยละ 82.3 ต้องการให้หน่วยงานรัฐออกมาขอโทษและแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน นอกจากนี้ ร้อยละ 78.5 เรียกร้องให้รัฐเร่งตรวจสอบมาตรฐานอาคารและการจัดซื้อจัดจ้างอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ และร้อยละ 75.4 ต้องการให้รัฐบาลพัฒนาระบบการแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างทันสถานการณ์.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.


