"นายกฯ อิ๊งค์" ส่ง "พิชัย" เจรจาภาษีสหรัฐ เน้นยุทธศาสตร์รู้เขารู้เรา วางแผนระยะยาวหาตลาดใหม่เพิ่ม "รองนายกฯ" เผย 5 มาตรการสู้กำแพงภาษี ลั่นไทยต้องได้ประโยชน์แก้ปัญหาแบบวิน-วิน "ทักษิณ" ชี้สูตรภาษีทรัมป์แค่เกมเจรจา เชื่อทีมไทยพูดคุยคืบหน้า รับ ศก.แย่กว่าก่อน แต่มั่นใจเอาอยู่ "สว." ห่วงกระทบส่งออก ขอรัฐบาลตั้งศูนย์ช่วยเหลือ
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 8 เมษายน 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กรณีกำแพงภาษีของ ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า นายกฯ มีข้อสั่งการขอให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งปรับตัวตามมาตรการใหม่ โดยยืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและดำเนินการมาตลอดกว่า 4 เดือน ซึ่งจะดำเนินการอย่างเหมาะสมต่อไป เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนคนไทยเป็นที่ตั้ง
จากนั้นเวลา 13.30 น. น.ส.แพทองธารเป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการการค้าสหรัฐอเมริกา โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า รัฐบาลเตรียมความพร้อมตั้งแต่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เตรียมวางยุทธศาสตร์ต่างๆ รู้เขารู้เรา เราอาจจะเป็นประเทศที่เล็กกว่าก็จริง แต่เราจะทำเจรจาอย่างดีที่สุด ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์รวดเร็วไม่ได้ เราต้องแม่นยำด้วย รีบไปมันไม่เกิดประโยชน์อะไร
"การที่เราไม่ได้รีบส่งจดหมายกลายเป็นว่าเราได้รับการตอบกลับมา จากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา USTR ในการรับนัดในการร่วมพูดคุยแล้ว ไม่แน่ใจว่าเราเป็นชาติแรกๆ หรือไม่ที่มีการติดต่อกับทางสหรัฐอเมริกาแล้วว่าสามารถเข้าไปคุยได้ เหลือแค่กำหนดวันคุย ซึ่งจะมีการส่งนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลังไปเจรจา ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยกระทรวงพาณิชย์จะรับผิดชอบต่อไป" น.ส.แพทองธารกล่าว
ถามถึงผลกระทบและการเยียวยาจากการขึ้นภาษีครั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า ระยะยาวเราจะมองในเรื่องของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ พร้อมกับหาตลาดใหม่เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมว่า ในการประชุมนายกฯ ได้ติดตามสถานการณ์เพื่อกำหนดก้าวต่อไปอย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการวางยุทธศาสตร์และมาตรการต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนหลักการรู้เขาและรู้เรา ซึ่งที่ประชุมไม่เพียงแต่ได้รับทราบรูปแบบการตอบโต้และแนวทางรับมือของประเทศต่างๆ ต่อมาตรการของสหรัฐเท่านั้น แต่ยังได้เห็นถึงปฏิกิริยาและการเคลื่อนไหวภายในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบด้วย
"นายกฯ ย้ำการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศไม่ใช่กระบวนการที่จบภายในครั้งเดียว แต่ต้องอาศัยการเจรจาหลายระดับ หลายเวที และต้องใช้เวลาในการประสานประโยชน์ร่วมกัน พร้อมขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรวบรวมข้อมูล รายงานสถานการณ์ล่าสุด และเสนอแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดนโยบายที่ตอบโจทย์ทั้งเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อไม่ให้ไทยต้องเสียเปรียบบนเวทีเศรษฐกิจโลก" โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ
วิน-วิน 5 แผนเจรจาสหรัฐ
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง กล่าวว่า จากนี้ได้ข้อสรุปเรื่องสำคัญ 5 ประเด็น ที่จะนำไปใช้เจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งจะเดินทางไปเจรจาได้ในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รมว.พาณิชย์และปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้ทำการบ้านเรื่องนี้มาอย่างน้อย 2 เดือนแล้ว วันนี้จึงมาดูว่าอันไหนเราขาด อันไหนเราเกิน และอันไหนเรามีความสามารถ
ทั้งนี้ 5 ประเด็นที่จะไปหารือประกอบด้วย 1.การหาโอกาสจากการนำเข้าพืชผลทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์จากสัตว์จากสหรัฐเพิ่มขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดดุลทางการค้า เช่น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของสหรัฐเข้ามาผลิตเป็นอาหารสัตว์ เพื่อแก้ปัญหาหารขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศ และนำเข้าเครื่องในสัตว์มาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าและส่งออก 2.การผ่อนคลายการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยบริการจัดการด้านภาษีเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค และการนำเข้าสินค้าต่างๆ ที่มีอยู่กว่า 100 รายการ จะดำเนินการตามโควตาที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3.การแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า ผ่านการลดขั้นตอนที่นอกเหนือจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีกฎระเบียบขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขทั้งหมด 4.การตรวจสอบคัดกรองสินค้าป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีของสหรัฐ จากประเทศอื่นๆ โดยจะมีการออกใบรับรองต้นถิ่นกำเนิดสินค้าให้รอบคอบมากขึ้น เพื่อป้องกันสินค้าที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านให้น้อยที่สุด และ 5.การหาโอกาสการลงทุนในสหรัฐ เช่น การพิจารณาลงทุนด้านการขนส่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติของสหรัฐในอะแลสกา หรือการลงทุนแปรรูปสินค้าเกษตรในสหรัฐ
"การดำเนินมาตรการทั้งหมดนั้นไทยไม่ได้ทำ เพราะสหรัฐยื่นข้อเสนอโหดมาขู่ เพราะกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สหรัฐจำเป็นต้องทำเพื่อประเทศของตัวเอง แต่สิ่งที่ไทยต้องทำคือการเตรียมตัวรองรับ มีสิ่งใดที่ต้องทำ มีขีดความสามารถมากแค่ไหน เพื่อแก้ปัญหาและไทยต้องได้ประโยชน์ด้วย โดยแนวทางที่เลือกนี้จะไม่ใช่เรื่องการลดภาษี เพราะหากลดภาษีจะทำเสมอเหมือนกันทั้งหมด อยากให้มั่นใจวิธีการแก้ไขปัญหาของไทยผ่านการที่เราคิดอยู่เสมอ ผ่านการแก้ปัญหาแบบ Win-Win คือดีทั้งสหรัฐและดีทั้งไทย พร้อมถือโอกาสยกระดับการทำงานของไทยและการผลิตของไทยให้เกิดความเชื่อมโยงมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ก็เป็นวิกฤต ก็กลุ้มใจอยู่ แต่ก็มีโอกาสในการแก้ปัญหาด้วย" นายพิชัยกล่าว
ถามถึงการไปเจรจาครั้งนี้จะดำเนินการอย่างไรบ้าง รองนายกฯ กล่าวว่า นายกฯ มอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะไปพูดคุยกับหลายภาคส่วนของอเมริกา โดยจะได้มีการประสานนัดหมายเพื่อทำการพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และหน่วยงานอื่นๆ ของสหรัฐ เพื่อนำเอาข้อเสนอของไทยไปเจรจาต่อรอง ซึ่งตอนนี้ขอเวลาอีกระยะหนึ่งก่อน โดยดูโจทย์ต่างๆ ให้ละเอียด จากนั้นจึงกำหนดวันไปเจรจาอีกครั้ง เพื่อให้การเจรจาเกิดผลสำเร็จและเห็นผลใน 1-5 ปีข้างหน้า
"นายกฯ ได้เน้นย้ำให้เร่งแก้ปัญหาต่างๆ อย่างเต็มที่ และให้ประเทศไทยเกิดประโยชน์มากที่สุดกับการเจรจาครั้งนี้ด้วย ขณะที่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยนั้น ยอมรับว่าหลายประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก และยังไม่สามารถประเมินได้ แต่เบื้องต้นมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร" รองนายกฯ กล่าว
แม้วชี้ภาษีทรัมป์แค่เกมเจรจา
ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐว่า วันนี้ปัญหาเศรษฐกิจหนักกว่าเดิมเยอะ มีปัญหาซ้ำเติมหลายอย่าง แต่ก็น่าจะเอาอยู่ แต่ต้องใช้เวลา มันไม่เร็วเหมือนสมัยก่อน เมื่อก่อนถ้าเศรษฐกิจเหมือนบ้านหลังหนึ่ง ก็เหมือนหลังคาพังซ่อมง่าย แต่วันนี้ปล่อยทิ้งไว้นานฐานรากมันแย่ เสาผุพัง ต้องใช้วิธีการซ่อมที่ยากขึ้น ใช้เวลามากขึ้น แต่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็น่าจะซ่อมแซมได้ดีขึ้น
ถามว่าได้วิเคราะห์หรือไม่ว่าทำไมประเทศไทยจึงโดนขึ้นภาษีเยอะขนาดนี้ นายทักษิณกล่าวว่า เป็นลักษณะที่เขาใช้สูตรเดียวเลย เราได้ดุลการค้าเขาเท่าไหร่ และเขาขายให้เราได้เท่าไหร่ คิดเป็น % แล้วหาร 2 เช่นในกัมพูชาที่ขายได้นิดเดียว แทบจะไม่ได้ซื้อเลย ปาเข้าไป 90% แล้วหาร 2 มันเป็นลักษณะใช้สูตรเดียว แต่ทั้งนี้เขาเหวี่ยงสูตรนี้มาเพื่อการเจรจา ต้องการให้แต่ละประเทศเข้าไปเจรจา ซึ่งวันนี้รัฐบาลได้ติดต่อขอเจรจาแล้ว น่าจะคืบหน้าไปด้วยดี น่าจะส่งตัวแทนไป ซึ่งนายกฯ ประชุม ครม.วันนี้ก็น่าจะชัดเจนว่าจะส่งใครไปเจรจา
ซักว่ามีคำแนะนำในการเจรจาหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า ก็ไม่มีอะไร ระบบภาษีระบบการกีดกันทางการค้าที่เราเคยมีในอดีตเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ไม่เคยแก้ไขจนเขามีความรู้สึกว่าเรากีดกันเขามากเกินไป เช่น รถจักรยานยนต์ที่เขาผลิต Harley-Davidson (ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน) มาแข่งอะไรกับคาวาซากิ ซูซูกิ ฮอนด้า ไม่แข่งหรอก แต่เราไปตั้งภาษีเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ก็คงต้องมาปรับในส่วนของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมไปเสียทุกอย่าง ลดภาษีเหลือ 0 ก็ได้ แต่ถ้า 0 ก็ต้อง 0 ทั้งสองฝ่าย
ส่วนนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงแนวทางการนำเข้าสินค้าเกษตรกรรมจากสหรัฐว่า ต้องดูว่าสินค้าใดที่ไทยจำเป็นต้องใช้และไม่เพียงพอ แต่ก็ต้องหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไทย หากการนำเข้ามามีราคาต่ำกว่าต้นทุนสินค้าของไทย ซึ่งต้องไปดูในรายละเอียดของแต่ละประเภทสินค้า
"ทราบถึงข้อเรียกร้องของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่เกรงว่าไทยจะยอมนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกาจนกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ซึ่งเราได้ส่งข้อมูลให้คณะเจรจาที่มีอำนาจพิจารณาตัดสินใจแล้ว" รมช.พาณิชย์กล่าว
ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา (สว.) ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง ทำหน้าที่ประธาน สว.หลายคนแสดงความกังวลถึงการแก้ไขปัญหากำแพงภาษีของสหรัฐที่มีต่อไทย
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สว. เสนอว่า เราควรมีการจัดตั้งมาตรการช่วยเหลือสำหรับการส่งออกคือ 1.จัดตั้งศูนย์บริการให้คำปรึกษาด้านการตลาดและเทคนิคให้กับผู้ส่งออก และการพัฒนาคุณภาพสินค้า รวมถึงการหาตลาดทดแทนในภูมิภาคอื่น 2.ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าไทย ให้ชาวโลกคิดว่าสินค้านี้มีเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น และ 3.พิจารณาการให้สินเชื่อและการมีส่วนสนับสนุนทางการเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนี้ เพื่อให้สามารถปรับตัวและฟื้นฟูการดำเนินการก็อย่างรวดเร็ว
"เพื่อให้มาตรการนี้เป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงการคลัง, หน่วยงานส่งเสริมการส่งออก และอยากให้ร่วมมือกับภาคเอกชน ควรจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผลกระทบ และกำหนดแนวทางในการรับมือที่เป็นรูปธรรม" สว.รายนี้ระบุ
ส่วนนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. หารือว่า ภาคแรงงานจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งคนที่อยู่ในภาคแรงงานมีประมาณ 6.4 ล้านคน ซึ่งคนเหล่านี้มีชีวิตที่ตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง ความกดดัน และความไม่แน่นอน มีโอกาสจะต้องตกงานและรายได้ลดลง
“ผมไม่แน่ใจว่า รมว.แรงงานจะเข้าไปอยู่ในคณะเจรจาด้วยหรือไม่ ทั้งๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน ขอให้คณะเจรจาโดยเฉพาะนายกฯ ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงาน และพิจารณามาตรการเยียวยาแรงงานด้วย” นายเทวฤทธิ์กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท


