ผงะ!กินหัวคิวปีละ2แสนล. ‘สตง.’กอดขั้นตอนแก้แบบ

"สตง." ก้นร้อนร่อนเอกสารแจง ปรับแก้แบบปล่องลิฟต์ ความหนาลดลง 5 ซม. มีผู้ออกแบบ-วิศวกรรับรองถูกต้องทุกขั้นตอน "ดีเอสไอ"  ตรวจเอกสารแก้ไขแบบสร้างตึก สตง. 9 ครั้ง พบครั้ง 4 และ 6 มีปัญหาปรากฏชื่อ-ลายเซ็น "นายสมเกียรติ" ขอแก้ไขโครงสร้างเหตุปัญหาปล่องลิฟต์  เตรียมเรียก 40 วิศวกรโดนอ้างชื่อสอบ 28 เม.ย.

"กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ" ชงใช้งบกลางเยียวยาอาคารเสียหายแผ่นดินไหวเพิ่มเติม ผงะ! ACT แฉวงจรคอร์รัปชันงานก่อสร้างภาครัฐ ล็อกสเปกฮั้วประมูล กินหัวคิวปีละ 2 แสนล้าน แนะรื้อระบบทบทวนกติกาใหม่ป้องกันโกง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกเอกสารข่าวชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารสัญญา  กรณีการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์บางจุดและการแก้ไขสัญญาว่า ในการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ สตง.ได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างออกแบบ กิจการร่วมค้า บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้รับจ้างก่อสร้าง กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และผู้รับจ้างควบคุมงาน กิจการร่วมค้า PKW บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนชัลแทนส์ จำกัด ซึ่งกรณีการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์บางจุดเกิดขึ้นในช่วงการบริหารสัญญาระหว่างดำเนินการก่อสร้าง

โดยผู้รับจ้างก่อสร้างพบว่าแบบงานโครงสร้างขัดกับแบบงานสถาปัตยกรรมภายใน ขนาดของผนังปล่องลิฟต์บริเวณทางเดินเมื่อรวมกับวัสดุตกแต่งตามแบบ ทำให้ทางเดินมีความกว้างไม่เป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ.2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 สตง.จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบของทางราชการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สตง.แจงการดำเนินการทั้งหมด 8 ข้อ (อ่านรายละเอียดหน้า 4) โดยที่น่าสนใจ ผู้รับจ้างควบคุมงานในฐานะตัวแทน สตง. มีหนังสือสอบถามความเห็นไปยังผู้รับจ้างออกแบบ  ซึ่งทั้งผู้รับจ้างออกแบบและผู้รับจ้างควบคุมงานเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามสัญญาจ้าง

นอกจากนี้ ผู้รับจ้างออกแบบให้ความเห็นโดยกำหนดรายละเอียดการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์จากความหนา 0.30 เมตร เป็น 0.25 เมตร บริเวณด้านทางเดินและเพิ่มปริมาณเหล็กเสริมให้มั่นคงแข็งแรงตามหลักการทางวิศวกรรม พร้อมจัดทำรายการคำนวณและลงนามรับรอง เพื่อให้ความกว้างช่องทางเดินถูกต้องตามกฎหมายกำหนด

โดยผู้รับจ้างควบคุมงานได้ตรวจสอบความถูกต้องและส่งให้ผู้รับจ้างออกแบบพิจารณาและรับรองความถูกต้องของแบบที่จัดทำแล้วส่งกลับมายังผู้รับจ้างควบคุมงาน ทั้งนี้ ผู้รับจ้างควบคุมงานโดยวุฒิวิศวกรได้ตรวจสอบและลงนามรับรองอีกครั้ง ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 165 วรรคสอง

กรณีดังกล่าว ผู้รับจ้างก่อสร้างได้เสนอราคารายการงานที่เปลี่ยนแปลงโดยมีราคาลดลงเป็นจำนวนเงิน 515,195.36 บาท (ห้าแสนหนึ่งหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าบาทสามสิบหกสตางค์) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสนอขอแก้ไขวงเงินในสัญญาจ้างตามจำนวนเงินดังกล่าว โดยผู้รับจ้างควบคุมงานได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามที่ผู้รับจ้างก่อสร้างเสนอ และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา

ผู้รับจ้างควบคุมงานรายงานข้อมูลทั้งหมดเสนอมายังคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เพื่อพิจารณาให้ความเห็น และเสนอต่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินดิน ในฐานะผู้ว่าจ้างเพื่อพิจารณาอนุมัติการแก้ไขสัญญา และผู้ว่าฯ สตง. เสนอ กรรมการ สตง. ให้ความเห็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง รวมทั้งคู่สัญญาลงนามการแก้ไขสัญญาจ้างก่อสร้าง โดยนำแบบรูปและรายการละเอียดที่แก้ไขเพื่อเป็นเอกสารอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา

DSI พบปัญหาแก้แบบตึก สตง.

ที่ห้องรับรอง ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์  (อาคารเอ) ถนนแจ้งวัฒนะ นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ, พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดีพิเศษกรณีตึก สตง.ถล่ม

ร.ต.อ.สุรวุฒิกล่าวว่า ข้อมูลที่มีทางตัวแทนของ สตง.เข้ามาชี้แจงกับดีเอสไอนั้น เบื้องต้นมีการประสานขอข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง สตง.ก็ได้มีการทยอยส่งมาแล้ว โดยเราจะดูเรื่องการได้มาซึ่งสัญญาของรัฐ รวมถึงการแก้ไขแบบแปลนด้วย โดยตามเอกสารพบมีการแก้ไขแบบทั้งหมด 9 ครั้ง แต่ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจะอยู่ในการแก้ไขแบบครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 4 และครั้งที่ 6 ซึ่งเราจะไปลงรายละเอียดต่อไปว่ามีประเด็นใดบ้าง ส่วนการแก้ไขแบบที่มีปัญหาจริงๆ คือการขอแก้ไขครั้งที่ 4 และครั้งที่ 6 ที่ปรากฏชื่อลายเซ็นของนายสมเกียรติ ชูแสงสุข ซึ่งมีการแก้ไขเรื่องโครงสร้าง เป็นปัญหาเรื่องปล่องลิฟต์ ตามที่เป็นข่าว

ร.ต.อ.สุรวุฒิกล่าวว่า สำหรับบรรดา 51 วิศวกรที่พบว่าอาจเกี่ยวข้องกับการถูกแอบอ้างว่าควบคุมงานตึก สตง.นั้น เราได้ออกหมายเรียกพยานไปแล้ว 40 ราย โดยจะเริ่มสอบสวนปากคำพยานวันที่ 28 เม.ย.นี้ เพื่อถามเรื่องมีการควบคุมงานทิพย์หรือไม่ และตนยังไม่ขอระบุว่าเป็นวิศวกรที่อยู่ในบริษัทหรือกิจการร่วมค้าใด

"ดีเอสไอได้สืบสวนสอบสวนขยายผลจนจับกุมผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว 4 ราย และ 1 นิติบุคคล ล้วนมีความเกี่ยวพันกันเป็นทอดๆ จากเรื่องความผิดการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จะขยายไปต่อในเรื่องฮั้วประมูลได้ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ เบื้องต้นเมื่อ 4 ผู้ต้องหาได้เข้าสู่กระบวนการแล้ว ดีเอสไอก็เหลือเวลาเร่งให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน" รองอธิบดีดีเอสไอกล่าว

ด้านนายสมบูรณ์กล่าวว่า จำนวนผู้ต้องหาในคดีนอมินีจะมีเพิ่มเติมหรือไม่ เราต้องให้เวลาพวกเขาในการให้ปากคำ หรือให้เขาได้หาพยานหลักฐานมาแสดงตามที่ได้อ้างไว้ จึงเชื่อว่าจะแล้วเสร็จภายใน 30 วัน

ที่บริเวณตึก สตง.แห่งใหม่ถล่ม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรื้อถอนและขนย้ายเศษซากอาคารออกจากพื้นที่นั้น ปัจจุบันสามารถลดระดับความสูงในโซน A, D เหลือ 7.88 ม. ลดลงจากวานนี้ 1.37 ม. และโซน B, C ที่ 6.54 ม. ลดลงจากวานนี้ 87 ซม. (จากเดิม 26.8 ม.) ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หาก 7 วันหลังจากนี้ยังคงสามารถลดระดับความสูงได้เฉลี่ยวันละประมาณ 1 ม. ก็จะแล้วเสร็จภารกิจได้ตามเป้าหมายที่สิ้นเดือนเม.ย.นี้

นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ แถลงว่า ปัจจุบันพบผู้เสียชีวิตแล้ว 56 ราย บาดเจ็บ 9 ราย และอยู่ระหว่างการค้นหาอีก 38 ราย จากผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด 103 ราย ซึ่งเมื่อวันที่ 23 เม.ย. พบร่างผู้ติดค้างเพิ่มเติม 1 ราย ในพื้นที่ D2 และชิ้นส่วนอวัยวะอีก 5 เคส ในบริเวณโซน C จึงนำส่งสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ตรวจสอบต่อไป 

ที่รัฐสภา นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ แถลงหลังประชุม กมธ. โดยเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเรื่องเงินเยียวยาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวว่า ระเบียบเงินเยียวยามาจากระเบียบของกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ซึ่งผู้ประสบภัยพิบัติเป็นเจ้าของที่ได้รับความเสียหายเท่าที่จ่ายจริง แต่หลังละไม่เกิน 49,500 บาท โดยกระทรวงการคลังมีการชงเรื่องแก้ไขระเบียบนี้ โดยเปลี่ยนจากค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยประจำ เป็นเปลี่ยนไปเป็นค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ประสบภัยพิบัติที่เป็นเจ้าของก็ถูกเปลี่ยนเป็นผู้ที่อยู่อาศัยประจำ และวงเงินจะแก้เป็น 80,000 บาท โดยทั้งหมดนี้เป็นแค่ร่างแก้ไขหลักเกณฑ์เท่านั้น จะต้องรอให้ทางรัฐบาลอนุมัติก่อน และให้ทางปลัดกระทรวงลงนาม ซึ่งหมายความว่าจะยังไม่มีผลบังคับใช้กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งที่ผ่านมา

 “ผมเข้าใจดีนะ เงินที่ช่วยเหลือส่วนนี้ไม่ใช่ประกัน แต่อย่างน้อยที่สุด ประชาชนได้รับความลำบาก บางคนเสียหายเป็นแสน ได้เงินช่วยเหลืออยู่แค่ 7,000-8,000 บาท เราพยายามหาช่องทางอื่นอย่างใช้งบกลาง ซึ่งถ้าจะใช้ได้ทาง กทม.หรือจังหวัดต่างๆ ต้องชงเรื่องขึ้นมาก่อน โดยจะเป็นการชงเรื่องวัสดุไม่ได้แล้วจึงต้องใช้เป็นอย่างอื่นแทน เช่น ค่าเดินทาง ค่าซ่อมแซม ค่ารื้อถอน ที่ชงเข้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และส่งต่อไปยังกรมบัญชีกลาง หากอนุมัติได้ก็จะมีเงินส่วนนี้มาช่วยเหลือประชาชน โดยจะดูเกณฑ์จากที่ กทม.เคยประเมินไปแล้ว เป็นเพียงไอเดียที่เราอยากให้เสนอเท่านั้น จึงต้องมีการช่วยเหลือเงินเยียวยาขั้นต่ำ ซึ่งต้องอาศัยกระแสสังคมช่วยกันกระตุ้นเรื่องนี้" กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจระบุ

ฮั้วก่อสร้างกินหัวคิว 2 แสนล./ปี

ด้านคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ประชุมกรณีการเข้ามาของทุนจีนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในพื้นที่จังหวัดระยองและภาคตะวันออกทั้งหมด โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม, ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง,   นายก อบจ.ระยอง, บีโอไอ และ สส.ระยอง เข้าชี้แจง แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้ส่งตัวแทนเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดมาแทน ส่วนทางนายก อบจ.ไม่มีตัวแทน

วันเดียวกัน นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เผยแพร่บทความ “ตึก สตง.ถล่ม : ภาพสะท้อนวงจรคอร์รัปชันในงานก่อสร้างภาครัฐ”

นายมานะระบุตอนหนึ่งว่า งานก่อสร้างภาครัฐมูลค่า 7.8 แสนล้านบาทต่อปี ประเมินว่าถูกคอร์รัปชันไปราว 2 แสนล้านบาท ผ่านการล็อกสเปก ฮั้วประมูล ลดงาน ลดคุณภาพวัสดุและอีกสารพัดกลโกง ทั้ง 2.3 แสนโครงการที่รัฐลงทุนไปนั้น ล้วนตกอยู่ในวงจรคอร์รัปชันแทบไม่ต่างกัน

ทั้งนี้ ในบทความดังกล่าวมีการอธิบายการเกาะกินวงการก่อสร้างภาครัฐ จนหลายโครงการสร้างไม่เสร็จ หรือปล่อยทิ้งร้าง ไม่ต่างจากอาคาร สตง. ที่ถล่มลงมาเอาไว้ 5 ข้อ อาทิ 1.การคัดเลือกบริษัทออกแบบโดยทั่วไปใช้วิธีประกวดแบบ จึงมักต้องวิ่งเต้นผู้มีอำนาจในหน่วยงาน โดยจ่ายเป็นเงินใต้โต๊ะ ต้องประเมินราคากลางสูงเกินจริง 20-30% เพื่อนำมาเป็นเงินทอน 2.บริษัทที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างสมรู้ร่วมคิดกับผู้รับเหมายอมให้ลดงาน ลดสเปก โดยทั่วไปพบว่า บริษัทออกแบบมักเป็นพวกเดียวกันกับบริษัทควบคุมงาน 3.บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมามีทั้งที่ชนะการประมูลงานโดยสุจริตและพวกที่ล็อกสเปก/ฮั้วประมูลเข้ามา 4.ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยราชการนั้นเอง หากผู้บริหารระดับสูงต้องการมีผลประโยชน์จากงานก่อสร้าง จะเริ่มจากบงการการกำหนดรูปแบบโครงการ 5.คณะกรรมการตรวจการจ้างไปรีดไถผู้รับเหมาเป็นเงินก้อน

ท้ายบทความนายมานะเสนอสิ่งที่ต้องเร่งปรับปรุงคือ 1.เร่งรื้อระบบจัดซื้อจัดจ้างฯ ให้มีกติกาเปิดกว้าง จูงใจให้เอกชนเข้าแข่งขันมากขึ้น 2.เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส 3.ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม ตรวจสอบ เช่น ระบบ GPS และ Ai เป็นต้น.