
“ชูศักดิ์” มองศาลเรียกหน่วยงานเกี่ยวข้องแจงปมชั้น 14 ความจริงจะได้กระจ่าง ชี้ “ทักษิณ” ไปรักษาตัว รพ.ตามความเห็นแพทย์ ยันเป็นอำนาจกรมราชทัณฑ์ พ้นหน้าที่ศาลแล้ว "อนุสรณ์” ระบุพ่อนายกฯ พร้อมรับการตรวจสอบตามกระบวนการ "นพดล" รับ สส.เพื่อไทยบางกลุ่มอยากให้ปรับ ครม. "เทพไท" ยุก่อนปรับ ครม.เปลี่ยนตัวนายกฯ ดีกว่า เหตุไร้ภาวะผู้นำ " อนุทิน" งงมีชื่อติดโผ "กอ.รมน." แอบอ้างสถาบันหาประโยชน์ ลั่นมีความจงรักภักดีอยู่ในสายเลือด
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกในวันที่ 13 มิ.ย.ว่า ไม่เคยมีกรณีเช่นนี้มาก่อน เพราะปกติคดีความจะมีโจทก์กับจำเลย ซึ่งศาลได้ยกคำร้องของผู้ร้อง แต่ว่าศาลได้ใช้อำนาจในการไต่สวนเอง ส่วนตัวมองว่าถือเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันที่จะทำให้กระจ่างชัด ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร ประเด็นมีแค่เพียงฝ่ายที่คัดค้านมีความเห็นในทำนองนายทักษิณไม่ได้ป่วยจริง ขณะที่กรมราชทัณฑ์ แพทย์ รพ.ตำรวจ ต่างก็มีหลักฐาน เอกสาร มีการรับรอง ถือว่าเป็นไปตามระเบียบและกฎเกณฑ์ แต่อีกฝ่ายที่ค้านไม่ได้เชื่อตรงนี้ จนเกิดการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร การที่ศาลไต่สวนเองจึงเป็นเรื่องดี จะได้ชัดเจน
ถามว่า เอกสารต่างๆ เช่นเวชระเบียน จะต้องถูกนำมาเปิดเผยในศาลใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับศาลที่จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้อง เท่าที่ตนได้อ่านดู มีทั้งโจทก์และจำเลย เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมราชทัณฑ์ แพทย์ รพ.ตำรวจ ซึ่งต้องให้เอกสารหลักฐานกับศาล
"ความเข้าใจของประชาชนมีความรู้สึกว่าการมารักษาตัวที่ รพ. ไม่ใช่การถูกควบคุมตัว ซึ่งทราบกันดีว่าระเบียบกรมราชทัณฑ์ การคุมตัวหรือการคุมขังเป็นคนละส่วนกับศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรมมีหน้าที่ในการพิพากษา แต่การบริหารโทษหรือการจัดการหรือการอภัยโทษมีระเบียบและกฎหมายอยู่ แต่มีการไปสื่อสารทำนองว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่การถูกควบคุม ซึ่งการอยู่ใน รพ.ถือเป็นการถูกควบคุมหรือถูกคุมขังเช่นเดียวกัน" นายชูศักดิ์ระบุ
ซักว่าหากเอกสารที่ส่งให้ศาลมีความชัดเจนในส่วนของนายทักษิณถือว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า คิดว่าความน่าเชื่อถือของแพทย์ กรมราชทัณฑ์ ที่ได้ดำเนินการเป็นไปตามความเห็นของผู้มีวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
ถามย้ำว่า มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายว่าเรื่องดังกล่าวต้องใช้กฎหมายราชทัณฑ์หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าการส่งตัวไป รพ.จะต้องขอศาลก่อน นายชูศักดิ์ยืนยันว่า ไม่ต้องขอศาล เพราะเป็นกฎระเบียบและอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งพ้นหน้าที่ของศาลแล้ว
เมื่อถามว่า หากมองในแง่ไม่ดีเกี่ยวกับการที่ศาลเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงครั้งนี้ จะกระทบกับรัฐบาลหรือไม่ เพราะนายทักษิณมีบทบาทมาก นายชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่กระทบ เพราะคนที่มีอำนาจเต็มคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
พท.มั่นใจทักษิณไม่ทำผิด กม.
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวว่า นายทักษิณพร้อมรับการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมในทุกมิติ และน้อมรับคำสั่งของศาล โดยมิได้ก้าวล่วงอำนาจศาล ยืนยันนายทักษิณไม่ได้อ้างสิทธิพิเศษใดๆ ให้กับตัวเอง กระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาทั้งหมดในประเด็นนี้เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมาย ไม่เคยฝ่าฝืนเงื่อนไขศาลหรือแสดงพฤติกรรมใดที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
“ขอให้เชื่อมั่นว่าท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ เคารพและให้ความร่วมมือ พร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบในทุกมิติ” นายอนุสรณ์กล่าว
ส่วนนายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค พท. กล่าวว่า พรรคไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้ เพียงแค่มีการพูดคุยกับฝ่ายกฎหมายของพรรคว่าเรื่องนี้จะให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราจะไม่ไปมีความเห็น เนื่องจากพรรค พท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และจะเห็นว่าขณะนี้มีหลายคนที่ใช้ความเห็นส่วนตัวมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ว่าทำได้หรือทำไม่ได้
“พท.ในฐานะที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล การจะไปวิพากษ์เรื่องศาลหรือควร-ไม่ควรนั้น เราก็กลัวจะถูกมองได้ว่าไปก้าวก่ายอำนาจศาลหรือไปดูหมิ่นศาล ฉะนั้นจึงควรว่าไม่อยากเอาเรื่องการเมืองไปกระทบอำนาจศาล” นายดนุพรกล่าว
พอถามว่า นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ตั้งข้อสังเกตว่านายทักษิณป่วยทิพย์ โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า เป็นความเชื่อของนายรังสิมันต์ เป็นสิทธิ์ที่จะสามารถเชื่อได้ เพียงแต่ว่าหากศาลเข้าสู่กระบวนการแล้ว ศาลจะมีวิธีสืบหาความจริงว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ ไปรักษาโรคอะไรบ้างที่ รพ. ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเอกสารอยู่ แต่เนื่องจากเป็นเอกสารส่วนบุคคล การจะนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะนั้น บางครั้งโดยข้อเท็จจริงก็ไม่สามารถทำได้ ฉะนั้นเมื่อเรื่องไปถึงขั้นตอนของศาล ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมไป
ถามถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุถ้ารัฐบาลอยู่อย่างนี้ ประเทศชาติหมดสภาพ ต้องยึดอำนาจอีกสักครั้ง โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า เราต้องจำบทเรียนที่ผ่านมาดีๆ ว่าวันที่เราทะเลาะกันแล้วมีม็อบเต็มถนน มีการยึดอำนาจในปี 57 ส่งผลกระทบอย่างไรต่อประเทศบ้าง
“หากท่านเสรีพิศุทธ์ไม่พอใจจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ก็รอ เหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี แล้วจะมีการเลือกตั้งใหม่ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดมากกว่าการเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติ ผมคิดว่าอย่าซ้ำเติมประเทศเลย" โฆษกพรรค พท.กล่าว
เมื่อถามว่า การที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกมาพูดเช่นนี้ มองว่าเป็นความแค้นส่วนตัวหรือไม่ นายดนุพรกล่าวว่า ความฝันของหัวหน้าพรรคทุกพรรคที่อยากมาร่วมรัฐบาล อยากมาทำงานในตำแหน่งบริหารเพื่อทำให้นโยบายของพรรคลงไปสู่พี่น้องประชาชน ตนมองว่าถือเป็นเรื่องปกติ ทุกพรรคการเมืองไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน เพียงแค่พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เชิญท่านเข้ามาร่วมรัฐบาลเท่านั้น จึงไม่ไปถึงฝัน
ปรับครม.เปลี่ยนนายกฯ ดีกว่า
ด้านนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตอนนี้เราต้องฟัง น.ส.แพทองธาร ที่บอกว่ายังไม่ปรับ เพราะเป็นอำนาจของท่าน เราต้องเชื่อท่าน ส่วนรัฐมนตรีที่มีข่าวนั้น ตนเชื่อว่าทุกคนต่างต้องทำงานตามหน้าที่ช่วยนายกฯ ให้ดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรอนาคตแต่ละคนอยู่ที่ผลงานและการตัดสินใจของนายกฯ
"เมื่อยังมีหน้าที่ก็ใช้ทุกนาทีทำงานให้เต็มที่ อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ ยอมรับว่าเรื่องการปรับ ครม.มีการพูดคุยกันบ้างใน สส.พรรคเพื่อไทยบางกลุ่ม แต่ไม่มีใครไปพูดสร้างแรงกดดันไปยังนายกฯ เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของนายกฯ ในการตัดสินใจ และตัวนายกฯ เองต้องรู้ดีที่สุด เพราะทำงานใกล้ชิดกับทั้งรัฐมนตรีและ สส." นายนพดลกล่าว
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ปรับ นรม. ก่อนปรับ ครม.” ตอนหนึ่งระบุว่า นับตั้งแต่ น.ส.แพทองธารเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงบัดนี้ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวขอสัมภาษณ์จะเห็นว่าพยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นทางการเมือง ซึ่งอาจจะเกรงกลัวว่าพูดไปแล้วเกิดความผิดพลาด จะถูกนำไปขยายผลทางการเมืองได้ จึงทำให้พยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม แบบผัดวันประกันพรุ่ง หรือกลับไปหาข้อมูลก่อน รวมถึงการตอบกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎร ก็หลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน
"จะเห็นได้ว่าวุฒิภาวะ ความรู้ความสามารถ การตอบคำถามผู้สื่อข่าวของ น.ส.แพทองธารต่ำมาก คนเป็นนายกฯ ต้องกล้าตอบคำถามทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศ แต่ที่ผ่านมาหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ไม่ว่าเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม เรื่องการเมือง อาจจะเป็นเพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาในการบริหารประเทศชาติ ตอบแล้วกลัวจะผิดพลาด เกิดอาการแหยง ต้องกลับไปทำการบ้าน หาข้อมูล กลับไปติวก่อน จึงมาตอบคำถามได้ ถ้าวุฒิภาวะของ น.ส.แพทองธารมีเพียงแค่นี้ ถ้าจะปรับ ครม. อยากให้ปรับ นรม.ก่อน หมายความคือ ถ้าจะปรับคณะรัฐมนตรี ก็ขอให้ปรับตัวนายกรัฐมนตรีก่อน" นายเทพไทระบุ
ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงเอกสารประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงในราชอาณาจักร ในรอบ 1 ปี ห้วงเวลา 1 ตุลาคม 2567-30 กันยายน 2568 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มีรายชื่อของนายอนุทินปรากฏอยู่ในหมวดหมู่บุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบันว่า ตนเพิ่งฟังจากข่าวเมื่อเช้านี้ แต่ยังไม่เห็นเอกสารดังกล่าว แต่อาจจะต้องมีการขอไป เพราะตนเป็นรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในฐานะที่เป็น รมว.มหาดไทย และยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ในการประชุม ซึ่งที่ผ่านมาก็เข้าร่วมการประชุม กอ.รมน.แทบทุกครั้ง เว้นแต่ครั้งที่ผ่านมา แต่คงจะต้องสอบถามไป
นายอนุทินยืนยันว่า สำหรับตัวเองอย่าว่าเรื่องเคยแอบอ้าง แค่คิดก็ไม่เคยคิดอยู่แล้ว แบบไม่มีความจำเป็นใดๆ ในหน้าที่การงานของตนที่จะต้องไปแอบอ้างสถาบัน และตนก็มีความจงรักภักดีในสายเลือดอยู่แล้ว
"ถ้าจะถามว่าผมรู้สึกอะไรกับสถาบันสูงสุดของประเทศ ผมก็ตอบได้อย่างเดียวว่ามีความจงรักภักดีไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เทิดทูนและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทุกพระองค์ตลอดมา แค่นั้น ขออย่าเอาไปเกี่ยวข้องกับการเมือง" นายอนุทินกล่าว
ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า จากการได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคให้ดูแลผู้สมัครภาคเหนือตอนบน เนื่องจากมีประสบการณ์และความคุ้นเคยกับพื้นที่ในเขตภาคเหนือ ได้รับเลือกตั้ง สว.พะเยา และเคยเป็น สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งแนวทางการทำพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จากการวิเคราะห์และถอดบทเรียนในการเลือกตั้งทั้งระดับท้องถิ่น ที่ผ่านมา ตนมั่นใจว่ากระแสของพรรคพลังประชารัฐที่ปรับรูปแบบใหม่ เปลี่ยนโลโก้ใหม่ เพิ่มนโยบายที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน ความเดือดร้อนของประชาชน เชื่อว่าประชาชนก็จะให้การสนับสนุน
ถามถึงอดีตสมาชิกพรรค พปชร.ที่อาจจะต้องหาเสียงในพื้นที่เดียวกัน นายสุรเดชกล่าวว่า ไม่ได้ถือว่าแข่งขันกัน แต่ถือว่าเป็นพันธมิตรกันได้ หากยังมีอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งการปกป้องสถาบัน และมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชน เราร่วมมือกันได้ไม่มีปัญหา แต่ที่สำคัญนโยบายของพรรคต้องชัดเจน และการปฏิบัติต้องเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นใครดีกว่าใคร ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน
'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.
โอนเงินเยียวยาน้ำท่วม สำเร็จแล้ว 4.9 พันล้าน 5 แสนครัวเรือน
'ภราดร' เผยยอดโอนเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ช่วง 1-4 ธ.ค. โอนสำเร็จแล้ว 548,126 ครัวเรือน วงเงินรวม 4.9 พันล้านบาท
รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
นายกฯ ประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล 'ร.9'
นายกฯ เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 'ในหลวง ร.9' วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2568
รัฐบาลคาดวันหยุดยาว คนไทยแห่เที่ยว เงินสะพัดหมื่นล้าน
รัฐบาลคาดช่วงหยุดยาว คนไทยแห่เที่ยว เงินสะพัดกว่าหมื่นล้าน เหตุอากาศเย็นสบาย-มาตรการรัฐหนุนท่องเที่ยวคึกคัก


