แห่ปัดข่าวภูมิใจไทยคว่ำงบ69

"โฆษกภูมิใจไทย" ปฏิเสธข่าว ภท.คว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ยันในฐานะพรรคร่วมฯ ไม่มีเหตุที่จะไม่สนับสนุนกฎหมายที่สำคัญเพื่อพัฒนาประเทศ "แกนนำ พท." มั่นใจเสถียรภาพรัฐบาล ลั่นเป็นไปไม่ได้ ภท.โหวตคว่ำ พ.ร.บ.งบฯ อ้างมารยาทต้องโหวตผ่าน ขออย่านำไปพันเรื่องฮั้ว สว. ยันไม่ยุบสภา ทุกพรรคยังทำงานร่วมกันได้ "สุวัจน์" จี้ถามนายกฯ ปรับ ครม.แก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ "รพ.ราชทัณฑ์" แจงไม่ได้เล็งฟ้องศาลเพิกถอนมติแพทยสภา ลงโทษ 3 แพทย์ ขอรอคำวินิจฉัย รมว.สธ. "นพดล" โทษ รปห.ตั้ง คตส.เล่นงานทักษิณ วอนทุกฝ่ายไม่ใช้ความรู้สึกตัดสินกดดันกระบวนการยุติธรรม "แก้วสรร" โต้ "ทนายวันชัย" รักลุ่มหลงทักษิณ  เตือนพวกขายชาติให้ทุนกาสิโนจะหายไปจากประเทศ ซูเปอร์โพลเผยการเมืองสู่ทางตันจากความขัดแย้งภายใน รบ.

เมื่อวันอาทิตย์ น.ส.แนน บุณย์ธิดา  สมชัย สส.อุบลราชธานี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ปฏิเสธถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยส่อคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 โดยระบุว่า พรรคภูมิใจไทยเห็นว่า พ.ร.บ.งบประมาณฯ  เป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาประชาชน  จึงขอปฏิเสธข่าวดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง ว่าไม่เป็นความจริง

"พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล มีรัฐมนตรีที่กำกับดูกระทรวงซึ่งมีส่วนร่วมจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่มีเหตุที่จะไม่สนับสนุน การจัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อน เพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาประเทศ"  โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าว

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการประชุมวิปรัฐบาลในวันที่ 13 พ.ค.นี้ว่า เป็นการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ช่วงวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ นอกจากนี้ จะมี พ.ร.ก.ที่ออกโดยรัฐบาลอีก 2 ฉบับ  รวมถึงอาจจะมีเรื่องตั๋วร่วมด้วย แต่ต้องดูวันที่ 13 พ.ค.นี้ก่อนว่าสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของวิปรัฐบาลได้ทั้งหมดกี่ฉบับ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 69 นายวิสุทธิ์กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพรรค ภท.ก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยมารยาทเขาก็ต้องโหวตให้ อย่าเอาไปโยงเรื่องของวุฒิสมาชิก ซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องนำมาพันกับเรื่องงบประมาณแผ่นดิน เพราะหากช้าก็จะมีปัญหาในเรื่องงบประมาณที่จะออกมา หน่วยงานราชการต่างๆ เขาก็ต้องการใช้งบประมาณ

เมื่อถามว่า ยังมั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลใช่หรือไม่ นายวิสุทธิ์กล่าวว่า “ก็ต้องมั่นใจสิ”

นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษก พท. กล่าวถึงกรณีกระแสข่าว ภท.จะโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69  เพราะเกี่ยวข้องกับคดีการฮั้ว สว.ว่า ไม่อยากให้สังคมคล้อยตามข่าวเช่นนี้ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง  (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต่างก็ทำตามอำนาจหน้าที่ที่เขามี และข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้มีการระบุว่าพรรคการเมืองใดอยู่เบื้องหลัง จากที่มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต่างก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับพท.ในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่จะเข้าสู่สภาวันที่ 28-30 พ.ค.นี้เป็นอย่างดี  ฉะนั้น ไม่อยากให้ข่าวเช่นนี้ออกมาแล้วทำให้สังคมเกิดความไขว้เขว

"พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ใช่เป็นงบประมาณของ พท.อย่างเดียว แต่พรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้น งบประมาณของทุกกระทรวงต่างก็อยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้ แน่นอนว่าหากงบประมาณฉบับนี้ไม่ผ่านจริงๆ รัฐบาลมีสองทางเลือกคือ นายกรัฐมนตรีต้องลาออกหรือยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่อยากให้ข่าวที่ออกมาโจมตีพรรค ภท.เช่นนี้ สร้างความไม่น่าเชื่อถือให้รัฐบาล"

มั่นใจ รบ.มีเสถียรภาพ

เมื่อถามว่า ยังมั่นใจในเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายดนุพร กล่าวว่า ใช่ เพราะผู้ใหญ่ในพรรคหรือแม้กระทั่งนายกฯ ก็บอกเสมอว่าได้มีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคร่วมฯ อย่างใกล้ชิดมาตลอด ทุกคนยังยืนยันว่าพร้อมที่จะสนับสนุนเรื่องงบประมาณและกฎหมายต่างๆ ของรัฐบาลที่จะเข้าสู่สภา กระแสข่าวที่ออกมา อาจจะเป็นไปได้ว่าอยากให้มีการปรับ ครม.หรือไม่ หรือบางคนอาจอยากถูกเชิญเข้ามาร่วมรัฐบาล หรือบางพรรคที่ได้เสียงแล้วไม่มีการเชิญให้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็อาจอยากให้ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้วกลับมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ จึงต้องมีการตีข่าวว่ารัฐบาลไปต่อไม่ได้ แล้วเขย่าให้รัฐบาลลาออกเป็นเกมการเมือง

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวเช่นกันว่า  กระแสข่าวที่ออกมาอาจเป็นเพียงความพยายามในการที่จะปั่นกระแสทางการเมืองให้เกิดความวุ่นวาย ยืนยันว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพ เสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลยังแน่นหนา ไม่มีเงื่อนไขใดนำไปสู่การยุบสภาในเวลานี้  เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น เพราะต่างตระหนักดีว่าหน้าที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ  ดูแลค่าครองชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 69 คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ รัฐบาลไม่เล่นเกมการเมือง ไม่เอาอนาคตของประเทศชาติและประชาชนไปเสี่ยง ทุกฝ่ายควรร่วมกันมองไปข้างหน้า ไม่ปล่อยให้ข่าวลือหรือความพยายามดิสเครดิตรัฐบาลมากลบเสียงของความเดือดร้อนที่แท้จริง

 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงทิศทางทางการเมืองว่า เดือนพฤษภาคมเหมือนกับครึ่งเทอมของ 4 ปีแล้ว เชื่อว่าวันนี้ก็คงอยู่ในใจของแต่ละพรรคการเมือง ฉะนั้นทุกคนก็คงจะคิดถึงเรื่องการเลือกตั้งครั้งหน้ากันพอสมควร ว่าเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะใกล้เข้ามาแล้ว ฉะนั้นก็จะเห็นถึงความตื่นตัว ความสนใจของพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกคนเหมือนกับมีวิธีการทำงานที่มีระบบก็จะดีกับการเมือง

นายสุวัจน์กล่าวถึงเรื่องปรับ ครม.  ว่า อยู่ในการตัดสินใจของนายกฯ คงจะไปคาดการณ์หรือเดาใจท่านไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้เราก็เดินมาแล้วครึ่งเทอม และตอนนี้เราก็มีปัญหาเศรษฐกิจ มีวิกฤตเศรษฐกิจ ทุกคนก็กังวลกัน ก็น่าที่จะมาจากเรื่องการลงทุน การส่งออกที่จะได้รับผลกระทบในกรณีที่สหรัฐได้ขึ้นภาษี  ฉะนั้นเรื่องปรับ ครม.เป็นเรื่องของนายกฯ เชื่อว่าประชาชนคงคาดหวังว่า เป็นการปรับ ครม.ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าเพื่อให้การบริหารงาน การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจดีขึ้น

นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.)   กล่าวว่า การประชุมวันพฤหัสบดีที่ 15 พ.ค.นี้ จะมีวาระการพิจารณาตรวจสอบการเลือก สว.ปี 2567 ที่ส่อไปในทางทุจริต หรือกรณีฮั้วเลือก สว. ที่แม้ขณะนี้ ในส่วนของดีเอสไอ เป็นการดำเนินคดีนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ขณะที่ในชั้น กมธ.ป.ป.ช.จะเป็นการตรวจสอบกระบวนการต่างๆ ในการเลือก สว. มีข้อบกพร่องหรือช่องโหว่หรือไม่อย่างไร ถึงมีคนบงการ และทำกันเป็นขบวนการเข้ามายึดวุฒิสภา เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายเช่นนี้

ราชทัณฑ์ปัดฟ้องแพทยสภา

 ส่วนความคืบหน้ากรณีแพทยสภาลงโทษแพทย์ 3 ราย กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยกรมราชทัณฑ์ชี้แจงกรณีที่มีสื่อมวลชนได้มีการเผยแพร่ข่าวและพาดหัวกล่าวว่า “รพ.ราชทัณฑ์เล็งฟ้องศาลเพิกถอนมติแพทยสภา” อันเกิดจากมีมติลงโทษแพทย์ 3 ราย จากกรณีการรักษาพยาบาล นายทักษิณ ชินวัตร ณ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 นั้น ขอเรียนว่า เบื้องต้นขณะนี้ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้รับทราบข่าวสารเกี่ยวกับมติที่ประชุมแพทยสภา ในการพิจารณากรณีจริยธรรมของแพทย์ในการส่งนายทักษิณออกรักษาตัว ณ รพ.ตำรวจ ผ่านการเผยแพร่จากสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังคงต้องรอคำวินิจฉัยของกระทรวงสาธารณสุข โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ซึ่งข้อมูลที่สื่อมวลชนนำออกมาเผยแพร่นั้น อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคม และอาจส่งผลกระทบระหว่างหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ในสังกัดกรมราชทัณฑ์ ยังคงยึดหลักปฏิบัติตามข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2565 เสมอมา ดังนั้นจากกรณีดังกล่าวกรมราชทัณฑ์ยังอยู่ในระหว่างรอคำวินิจฉัยต่อไป

นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์กรณีชั้น 14 ที่พาดพิงถึงอดีตนายกฯ ทักษิณว่า อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้เปิดพื้นที่ให้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่อยากให้ใช้อารมณ์ตัดสินไปล่วงหน้า และไม่อยากเห็นการกดดันกระบวนการยุติธรรม แม้เราจะชอบหรือไม่ชอบใครก็ตาม แต่ก็ควรเปิดพื้นที่ให้ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความยุติธรรมให้เกิดขึ้น อยากเห็นสังคมไทยมีความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน และพิจารณาเหตุการณ์ความเป็นมาของเรื่องนี้ โดยดูความเป็นมาทั้งหมด ไม่ตัดตอนในบางช่วง นอกจากนั้นการสอบสวนหรือการดำเนินการใดๆ ตามกฎหมายนั้น ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการ โดยไม่ควรไปสร้างแรงกดดันให้กับกระบวนการยุติธรรม

"หลังรัฐประหารในปี 2549 ผมเคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้อดีตนายกฯ มีการตั้งบุคคลที่มีความคิดทางการเมืองเป็นปฏิปักษ์กับอดีตนายกฯ มาสืบสวนคดีต่างๆ ที่เรียกว่า คตส. ซึ่งผมเคยให้สัมภาษณ์และตั้งคำถามไปว่า รายกรณี ชั้น การตั้งบุคคลที่มีความคิดทางการเมืองเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมาสืบสวนเรื่องของผู้ถูกยึดอำนาจอาจขัดกับหลักนิติธรรมหรือไม่ จึงอยากเห็นการประมวลเหตุการณ์ความเป็นมาทั้งหมดให้ครบถ้วน และขอมีความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน วิจารณ์โดยไม่ใช้อคติ การใช้หลักนิติธรรมนั้นจะต้องใช้สม่ำเสมอกับทุกกรณี เชื่อมั่นในการไต่สวนและกระบวนการยุติธรรมว่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนได้" นายนพดล กล่าว

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวถึงกรณีแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ 3 รายว่า เป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้ดุลพินิจและกระบวนการพิจารณาของแพทยสภา ไม่ควรถูกนำไปโยงเป็นประเด็นทางการเมือง หรือใช้สร้างวาทกรรมโจมตีรัฐบาล เพราะเป็นคนละเรื่องกับการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน เหตุการณ์และข้อพิจารณาของแพทยสภาเกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะนายกฯ แพทองธาร ที่ได้รับตำแหน่งหลังจากนายทักษิณได้รับการปล่อยตัวแล้ว จึงไม่เกี่ยวข้องกัน ประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของวิชาชีพเฉพาะด้าน ซึ่งมีคณะกรรมการแพทยสภากำกับดูแลอยู่แล้ว รัฐบาลไม่เคยเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยว รัฐบาลไม่เสียสมาธิจากการทำงานเพื่อประชาชนนายกฯ มีขวัญกำลังใจที่ดี

เหน็บ 'ทนายวันชัย' ลุ่มหลงทักษิณ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความว่า น.ส.แพทองธารหลีกเลี่ยง ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับคดีชั้น 14 ของนายทักษิณอยู่หลายครั้ง ทั้งที่เป็นผู้รู้เรื่องดี และมีข้อมูลครบถ้วนมากที่สุดคนหนึ่ง วันนี้เมื่อผลการสอบของแพทย์สภาออกมาแล้วว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤต  สังคมก็อยากทราบความเห็น และท่าทีของ น.ส.แพทองธาร ว่ามีความคิดเห็นต่อผลการสอบของแพทยสภา ที่เคยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับอย่างไรบ้าง และต่อกรณีคดีชั้น 14 น.ส.แพทองธาร ซึ่งเป็นผู้รู้เรื่องดีที่สุด จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ออกบทความในรูปถามตอบเรื่อง "คดีชั้น 14 ....สังคมแห่งความชิงชัง???"  ตอบโต้ทนายวันชัย สอนศิริ ว่า ปัญหากฎหมาย เห็นด้วยว่าคดีนี้ต้องใช้ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 55 ซึ่งระบุแต่เพียงว่า ถ้า รพ.ราชทัณฑ์รักษาไม่ได้หรือต้องใช้แพทย์เฉพาะทางก็อนุญาตให้ไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้  ประเด็นในคดีจึงมีอยู่ว่า ทักษิณป่วยถึงขั้นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และ รพ.ราชทัณฑ์รักษาไม่ได้จริงหรือไม่ ส่วนจะใช้คำเรียกขานว่าถึงขั้น “วิกฤต” คือออกอาการแล้วหรืออะไรก็ตามใจ ขอแต่ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนเท่านั้น ต้องมีความเห็นแพทย์ที่ถูกต้องว่ามีอาการถึงขั้นต้องรับรักษาในโรงพยาบาล ทั้งตอนส่งตัวและตกลงรับตัวไว้รักษา ส่วนการนอนยาวอยู่ รพ.นานถึง 6 เดือน ก็ต้องมีหลักฐานการรักษาตัวว่ามีการรักษาดูแลต่อเนื่องยาวนานถึงเพียงนั้นจริง

"ส่วนที่ทนายวันชัยเขากล่าวหาว่าพวกอาจารย์ทำไปด้วยความชิงชังทักษิณ ผมจะโต้ว่าเขาพูดออกมาเพราะรักลุ่มหลงทักษิณก็ได้ แต่มันก็ไร้สาระเหมือนกันอยู่ดี คนเราแลกเปลี่ยนความเห็นกันทางกฎหมายก็ควรว่ากันออกมาตามเหตุตามผล ไม่ต้องเสือกไปดูจิตใจกันว่าใครรักหรือชิงชังทักษิณ ถ้าเสือกกันอย่างนี้มากๆ ศาลจะตัดสินคดีนี้ได้ลำบาก สั่งไปทางไหนก็ถูกเขาว่าได้ทั้งนั้นว่า ศาลรักหรือชังทักษิณ"

นายแก้วสรรกล่าวด้วยว่า ถ้าทักษิณรู้จักเลี้ยงหลานอยู่เงียบๆ เขาอยู่ได้สบายเลย แต่พอมาออกหน้าเป็นผู้นำรัฐบาล เป็น สทร.ประกาศผลักดันประเทศไปทางโน้นทางนี้อย่างนี้   กระแสคัดค้านจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา วันนี้โลกาภิวัตน์เดิมมันจบแล้ว ถ้ายังคิดยังจมอยู่ทุกวันกับประชานิยมพล่อยๆ บวกการขายชาติ ขายสังคม ขายศีลธรรม ให้กับทุนกาสิโนโลกอยู่อีก เชื่อว่าในไม่ช้า “เขา” คนนั้น จะต้องหายไปจากประเทศไทยแน่นอน ไม่ว่าคดีชั้น ๑๔ จะลงเอยอย่างไรก็ตาม

วันเดียวกัน ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ทางตันของการเมือง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 5-10 พฤษภาคม 2568 พบว่า  ร้อยละ 47.1 ของประชาชนคิดว่าการเมืองกำลังจะเข้าสู่ทางตัน ขณะที่อีกร้อยละ 31.9 ไม่มีความเห็น และเพียงร้อยละ 21.0 เท่านั้นที่ยังไม่คิดว่าการเมืองจะเข้าสู่ทางตัน

ที่น่าพิจารณาคือ เหตุผลหลักที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการเมืองกำลังถึงทางตัน ได้แก่ ความขัดแย้งภายในรัฐบาล ร้อยละ 45.7, ปัญหาในวุฒิสภา ร้อยละ 43.8, ปัญหาส่วนตัวของนักการเมืองใหญ่ ร้อยละ 40.9, ปัญหาความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ร้อยละ 39.7 และความรู้สึกว่ามีการเลือกปฏิบัติ ร้อยละ 38.2 ปัจจัยเหล่านี้สะท้อน “วิกฤตศรัทธา” ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือบริหาร แต่ครอบคลุมถึงระบบตรวจสอบและความเป็นธรรมในสังคมการเมืองไทย

ผลสำรวจนี้ยังสะท้อนว่า ความหวังของประชาชนต่ออนาคตการเมืองไทยอยู่ที่การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพและความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยร้อยละ 68.5 ระบุว่าต้องการให้รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาปากท้องได้อย่างแท้จริง ขณะที่ร้อยละ 64.3 ต้องการเห็นการเมืองที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน และอีกร้อยละ 62.7 ต้องการเห็นองค์กรอิสระที่เป็นกลาง.