เมินเวิลด์แบงก์ หั่น‘จีดีพี’ไทย กมธ.งบบี้ธปท.

“เผ่าภูมิ” เคาะปิดดีลแผนใช้งบ 1.57 แสนล้านบาท ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ชงบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เมินธนาคารโลกหั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 1.8% ชี้เศรษฐกิจยังฝุ่นตลบ ไม่มีใครประเมินตัวเลขได้ถูกต้องที่สุด การันตีรัฐบาลลุยเข็นมาตรการประคองต่อเนื่อง "ศิริกัญญา" เผย 4  หน่วย ศก.แจง กมธ.งบฯ 69 รับจีดีพีปีหน้าตกเหลือ 1.6% เชื่อปี 70 หนี้สาธารณะทะลุเพดาน "ชาดา" ไล่บี้ "แบงก์ชาติ" ใครคุมธนาคารจะได้หายโง่

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า  ขณะนี้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการที่จะใช้เม็ดเงินดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีคำขอใช้งบประมาณเข้ามา 4 แสนกว่าล้านบาท โดยระหว่างนี้ได้มีการเชิญหน่วยงานต้นของโครงการต่างๆ เข้ามาชี้แจง ให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนความจำเป็นในมิติต่างๆ โดยคาดว่าจะสามารถสรุปและสามารถเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาได้ไม่ได้ 1-2 สัปดาห์นี้

 “ตัวเลขสุดท้ายจะเป็นอย่างไร คงพูดวันนี้ไม่ได้ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ อยู่ระหว่างพิจารณาในมิติต่างๆ โดยต้องอย่าลืมว่าตรงนี้เป็นเงินจำนวนมาก และมีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐบาลและผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบจะต้องใช้ความละเอียดถี่ถ้วน ใช้ความวิริยอุตสาหะ และใช้ความรอบคอบในการดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ” นายเผ่าภูมิระบุ

ส่วนกรณีที่ธนาคารโลก (World Bank) มีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2568 เหลือ 2.3% ขณะเดียวกันได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย เหลือ 1.8% และปี 2569 เหลือ 1.7% นั้น นายเผ่าภูมิกล่าวว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ และขณะนี้ยังไม่มีใครที่จะสามารถรู้ผลสุดท้ายของผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจนจนสามารถทำเป็นตัวเลขออกมาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ในการรับฟังและทำหน้าที่ในการบริหารเศรษฐกิจให้ดีและตรงกับสถานการณ์มากที่สุด

ทั้งนี้ มองว่าการประเมินเป็นไปตามรอบ คนที่อยู่ในรอบของการประเมินมีหน้าที่ประเมินด้วยข้อมูลที่ดีที่สุด ณ วันนั้น โดยถามว่าข้อมูลเศรษฐกิจตอนนี้นิ่งแล้วหรือยัง คำตอบคือ “ยังไม่นิ่ง” ซึ่งในส่วนของประเทศไทยตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเข้าสู่การเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ  หลังจากที่รัฐบาลทำงานเบื้องหลังมานานแล้ว  และเชื่อว่าผลของการเจรจาน่าจะมีแนวโน้มที่ดีด้วย ดังนั้นรัฐบาลรับฟังและทำให้ดีที่สุด ให้ตรงกับสถานการณ์มากที่สุด และต้องมีมาตรการในการประคองสถานการณ์ออกมาเรื่อยๆ

ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่มีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม  โดยได้การเชิญหน่วยงานและสถาบันการเงิน 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง, สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.) และสำนักงบประมาณ เข้ามาชี้แจงภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ

นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะ กมธ.งบฯ  69 ตั้งคำถามว่า เท่าที่สภาพัฒน์ประเมินภายในถึงผลสุทธิต่อการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา   กระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนการค้า อัตราภาษีนำเข้าที่คิดว่าจะเป็น ซึ่งจะถูกใช้เป็นสมมติฐานในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่เท่าไหร่ และตัวเลขที่ทำการประมาณในปี 68 ได้เปลี่ยนจากสมมติฐานเดิมในการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เป็นโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มีส่วนเพิ่มหรือส่วนต่างอย่างไร

นายวีระยังได้ถาม ธปท.ในส่วนหนี้ต่างประเทศสุทธิของประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน ประมาณ 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น  หากเทียบกับทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ที่มีอยู่ขณะนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลหรือไม่ รวมทั้งซักกระทรวงการคลังว่า ในปี 68 จะให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการขาดแคลนรายได้จากที่ทำการประมาณการรายได้ ส่วนในปี 69 ดูแล้วยังไงก็จะต้องมีการขาดแคลนรายได้ จึงอยากถามถึงตัวเลขประมาณการในใจว่า การคาดว่าตัวเลขที่จะไม่เป็นไปตามการประมาณการรายได้นั้น จะขาดไปเท่าไหร่ รวมถึงกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นผู้นำหลักในการเข้าไปเจรจากับประธานาธิบดีสหรัฐ หวังว่าสุทธิของอัตราภาษีนำเข้าของไทยจะอยู่ที่เท่าไหร่

ด้านนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ได้สอบถาม ธปท.อย่างดุเดือดว่า  การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ตนคิดแบบบ้านๆ  แบบคนเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ตอนนี้เงินไม่ไปสู่รากหญ้า สงสัยจังเลยว่าเงินแสนกว่าล้านในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นรายได้เพิ่มขึ้น สมควรมาใช้จ่าย พรรคเพื่อไทยหาเสียงเรื่องเงินดิจิทัล  แต่พอเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลแล้วจะแจกเงินก็ถูกบล็อกเลย พรรคการเมืองเป็นคนวางนโยบายเข้ามา ต้องมีสิทธิทำในระดับหนึ่ง แต่เวลาจะทำเพื่อคนจนจริงๆ คนชั้นล่างจริงๆ ท่านไม่ให้ทำ บอกว่าระบบเศรษฐกิจจะเสียหายอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าตนเป็นพรรคเพื่อไทยไม่ยอม วันนี้มีช่องทางเดียว เงินตรงนี้แหละที่จะถึงประชาชนจริงๆ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ ไม่ใช่กระตุ้นด้วยโครงการรับเหมาก่อสร้างอย่างเดียว

 “อยากให้ ธปท.ตอบตรงนี้ สมองของผมจะได้หายโง่ ว่าใครดูแลธนาคาร ใครมีอำนาจในการตั้งค่าธรรมเนียม เพราะแม้กระทั่งเงินของภาครัฐก็ต้องเสียดอกเบี้ย ทุกวันนี้ที่อยู่กันได้ เพราะมันกู้ภายในประเทศ ถ้าเป็นกู้นอกประเทศ เจ๊งกันไปแล้ว เงินที่ได้มาลงทุนก็เสียดอกแล้วมาอยู่ในระบบก็เสียดอกอีก กลายเป็นกลุ่มทุนเอาไปหมด" นายชาดาระบุ

ขณะที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า 4 หน่วยงานที่เชิญมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจทั้งปีนี้และปีหน้าจะตกต่ำ จึงเป็นสิ่งที่หน้ากังวล ในปี 68 แต่ละหน่วยงานก็คาดการณ์ให้ตัวเลขจีดีพีไม่เท่ากัน อยู่ระหว่าง 1.8-2 % ส่วนในปี 69 จะตกต่ำลงไปอีก อยู่ที่ 1.6 % โดยเฉพาะสิ่งที่ส่งผลกระทบต่องบประมาณ ประเด็นแรกคือการประมาณการรายได้เข้ารัฐ ในปี 69 รายได้รัฐจะหายไป 6 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 2% ของการประมาณการรายได้ หมายความว่ารายจ่ายปี 69 จะใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ตามที่ได้ตั้งไว้ 3.78 ล้านล้านบาท ดังนั้น จึงมีการพูดคุยกับกระทรวงการคลังว่าจะมีแนวทางอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนภาษีสรรพสามิต ที่เก็บได้ต่ำกว่าเป้า

โดยกระทรวงการคลังมีการเสนอแนวทาง 2 อย่าง คือจะใช้ทั้งปี 68 และ 69 จะมีการเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 บาท เพียงอาจจะยังไม่กระทบกับราคาน้ำมันที่ประชาชนต้องควักเงินจ่าย แต่จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาทต่อเดือน ประเด็นที่ 2 คือการเก็บภาษีตัวอื่นๆ เพิ่มเติม หรือมีการรื้อโครงสร้างของภาษีรถยนต์ในอนาคต ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จะทำให้ไปถึง 70% เร็วขึ้น และปลายปีงบประมาณ 69 จะขึ้นไปถึง 69% ส่วนในปี 70 ต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปอย่างแน่นอน  และกระทรวงการคลังไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ เท่ากับว่าประเทศไทยคงต้องมีมติของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะในปี 70 และไม่แน่ใจว่าจะเป็นงบประมาณที่รัฐบาลไหนได้ใช้ หากมีการยุบสภาเร็วกว่านี้ อาจไม่ใช่รัฐบาลนี้ ที่จะรับภาระหนี้สาธารณะเกิน 70 % ต่อจีดีพี

สำหรับกรณีเงินฝืด เรารับรู้กันว่าตลาดต่างๆ  เงียบเหงา กำลังซื้อประชาชนกำลังอ่อนตัวลง โดย ธปท.ชี้แจงว่ายังไม่เข้าสู่ช่วงเงินฝืด เพราะเวลาเงินเฟ้อติดลบ ติดลบเป็นหย่อมๆ ไม่ได้ติดลบทุกๆ รายการอย่างเท่าเทียม แต่ต้องยอมรับว่ามีการจับตาดูเรื่องกำลังซื้อที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.