DSIหอบคดีฮั้วตึกสตง.ให้‘ปปช.’ฟัน

"อธิบดีดีเอสไอ" เผยคดีฮั้ว สว.พบเส้นเงินโยงพรรคการเมือง-นักการเมือง 3 ภาค  อีสาน เหนือ ใต้ ส่วนคดีตึก สตง.ถล่ม ส่งมอบสำนวนคดีฮั้วประมูลก่อสร้าง 73 แฟ้ม 31,224 แผ่น ให้ ป.ป.ช. ไต่สวนผู้บริหารระดับสูง สตง.และเอกชน

ความคืบหน้าคดีฮั้วเลือก สว. เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.)  รวมถึงผู้ที่เป็นสมาชิกอั้งยี่และผู้สนับสนุน เปิดเผยว่า หมายเรียกพยานล็อตแรก 7 รายที่เชิญมาให้การกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษนั้น  ตอนนี้เป็นในส่วนของคดี สว. ที่มีการกล่าวหาว่ามีการจัดตั้งหรือมีการฮั้วกัน ซึ่งในส่วนของดีเอสไอเองก็ดำเนินคดีความผิดฐานฟอกเงินและอั้งยี่ โดยความผิดฐานดังกล่าวนี้ ก็จำเป็นต้องรอหลักฐานรายการเดินบัญชีของบุคคลต่างๆ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ และเมื่อพนักงานสอบสวนนำมาวิเคราะห์ จึงเห็นเส้นทางการเงินว่าในแต่ละพื้นที่จังหวัด ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีกลุ่มใดบ้างที่มีเส้นทางการเงินโยงใยกับใคร

เบื้องต้นเราพบเส้นทางการเงินว่ามีการโอนเงินจากกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง  ได้มีการโอนมายังผู้ที่มีการจัดตั้งให้มีการเลือก ก็คือโหวตเตอร์ โดยพบว่ามีการโอนเงินบางส่วน  จึงได้มีการออกหมายเรียกพยานให้เข้าพบพนักงานสอบสวนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า บทบาทของพยานทั้ง 7 รายนี้ เป็นโหวตเตอร์หรือเป็นผู้จัดหาคนมาลงสมัคร สว.อย่างไรบ้างนั้น พ.ต.ต.ยุทธนาตอบว่า เป็นทั้งสองกรณี เพราะเป็นทั้งผู้โอนเงินและรับเงินเองด้วย โดยจำนวนเงินที่ตรวจพบอาจไม่เยอะมาก  เพราะจำนวนหลักพันบาท แต่ก็ต้องสอบสวนต่อไป เพราะเส้นทางการเงินเหล่านั้นปรากฏขึ้นในช่วงของการเลือกตั้ง และใกล้เคียงวันเลือกตั้ง   แต่มีการโอนเงินให้กับกลุ่มบุคคลที่มีการจัดตั้งให้ไปเป็นโหวตเตอร์ในการที่จะเลือกบุคคลของกลุ่มของตนเองเข้ามาเป็น สว.ในชั้นต่างๆ ทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ทั้งนี้ จะยังมีการทยอยออกหมายเรียกพยานในลักษณะดังกล่าวอีกจำนวนมาก ซึ่ง 7 รายนี้เป็นเพียงจำนวนเบื้องต้นเท่านั้น

ส่วนคดีอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม พ.ต.ต.ยุทธนาเผยว่า ได้พิจารณาและมีความเห็นให้ส่งสำนวนการสอบสวนที่อาจมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดตาม  พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ที่มีการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะไต่สวนและวินิจฉัย เป็นเหตุให้วันนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 ได้นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว รวม 73 แฟ้ม จำนวน 13 กล่อง เอกสาร 31,224 แผ่น ส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้กับเลขาธิการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยพบว่ามีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องรวม 76 ราย แบ่งเป็น เจ้าหน้าที่รัฐภายในองค์กรอิสระ 70 ราย และผู้บริหารของกิจการร่วมค้า PKW 6 ราย

จากนั้นที่ สำนักงาน ป.ป.ช. จ.นนทบุรี พ.ต.ต.ยุทธนาพร้อมด้วย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ได้นำสำนวนคดีพิเศษมาส่งมอบให้ ป.ป.ช. โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับสำนวนด้วยตัวเองสำหรับสำนวนคดีพิเศษนี้ ดีเอสไอได้สรุปผลการสอบสวนว่ามีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้บริหารองค์กรอิสระ 2.คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 คณะ ทั้งด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และการควบคุมงาน 3.คณะกรรมการออกแบบและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 27  

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการ สตง.คนปัจจุบัน มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น อธิบดีดีเอสไอตอบว่า สำนวนดังกล่าวมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สตง.รวมอยู่ด้วย และคดีนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนและพิจารณาของ ป.ป.ช. ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.