“อิ๊งค์” เชื่อ “ภาษีทรัมป์” ยังมีโอกาส “พิชัย” แจกการบ้านภาคธุรกิจประเมินผลกระทบ เดดไลน์ส่ง 11 ก.ค. เอกชนใจชื้นหลังเห็นสัญญาณบวก “เผ่าภูมิ” รับเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังแผ่ว บี้นโยบายการเงินเหยียบคันเร่ง หั่นอัตราดอกเบี้ย-คุมค่าบาท-ผ่อนเกณฑ์อัดฉีดสินเชื่อ “แบงก์ชาติ” คาดกดเศรษฐกิจไทยซึมยาวปีครึ่ง
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีมาตรการกำแพงภาษีที่สหรัฐอเมริกาจัดเก็บภาษีไทย 36% ในวันที่ 1 ส.ค.ว่า รายละเอียดเรื่องนี้ต้องถามนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งได้คุยกันกรณีเรื่องของจดหมายที่ส่งมา ยืนยันว่าการเจรจาทั้งหมดต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลเท่านั้น โดยที่รัฐบาลจะเป็นผู้เจรจา และตอบกลับไปยังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากถามความคิดเห็นส่วนตัวของตน ในความเห็นของประชาชนคนหนึ่ง คิดว่ายังมีโอกาสในเรื่องนี้อยู่ ส่วนรายละเอียดทั้งหมดขอให้สอบถามจากนายพิชัย
ที่กระทรวงการคลัง นายพิชัยเปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกันคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และภาคธุรกิจที่มีการทำธุรกิจและส่งออกไปยังสหรัฐว่า เป็นการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือผลลัพธ์จากมาตรการภาษีของสหรัฐว่าจะออกมาทางไหนบ้าง ซึ่งยืนยันว่ามีการประเมินในหลายทาง ทั้งผลลัพธ์ที่ดี ผลลัพธ์ที่ดีปานกลาง เป็นต้น และหลังจากนั้นต้องมาคิดวิธีว่าเรื่องนี้จะกระทบกับใครบ้าง
โดยได้มอบการบ้านให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไปประเมิน เนื่องจากลักษณะธุรกิจมีความแตกต่างกัน ดังนั้นปัญหาที่แต่ละกลุ่มจะได้รับจะต่างกันออกไปด้วย เมื่อทำการบ้านเรียบร้อยแล้วให้ส่งกลับมา เพื่อกระทรวงการคลังจะได้รู้ว่าควรจะกำหนดมาตรการในการให้ความช่วยเหลืออย่างไร และอะไรบ้าง โดยยืนยันว่ากระทรวงการคลังได้มีการคิดไว้แล้วว่าจะมีมาตรการไหน และเครื่องมืออะไรที่จะเหมาะกับใครบ้าง ซึ่งเบื้องต้นจะมีการส่งการบ้านกลับมาที่ตนในวันศุกร์ที่ 11 ก.ค.นี้ และถ้าข้อมูลยังไม่เพียงพอสามารถเรียกมาคุยกันใหม่ได้ ซึ่งในส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับการนัดหารือของรัฐบาลที่บ้านพิษณุโลก แต่ยืนยันว่าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดก่อนวันที่ 31 ก.ค.นี้อย่างแน่นอน
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากหารือเบื้องต้นแล้ว แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่รู้สึกสบายใจมากขึ้น และมองเห็นแนวโน้มหรือสัญญาณที่ดี พร้อมทั้งให้กำลังใจทีมไทยแลนด์ในการทำงานครั้งนี้ว่า “สู้ๆ”
ขณะที่ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจจะชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก จึงต้องเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อโอบอุ้มการเติบโต โดยทั้งนโยบายการคลังและการเงินจะต้องเหยียบคันเร่งไปพร้อมๆ กัน
ส่วนถามว่าสถานการณ์ตอนนี้จำเป็นจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มหรือไม่นั้น เรื่องนี้อยู่ที่การพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เช่นเดียวกับสถานการณ์ค่าเงินบาท ซึ่งเรื่องนี้มีผลโดยตรงต่อภาคการส่งออก นอกจากนี้นโยบายการเงินไม่ได้มีแค่เรื่องดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการกระจายเม็ดเงิน กระจายสินเชื่อ กระจายสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ซึ่งหมายรวมถึงการทำให้เงื่อนไขต่างๆ ผ่อนปรน ทำให้สถาบันการเงินสามารถมีแรงจูงใจในการกระจายสินเชื่อและสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
รมช.การคลังกล่าวถึงการเจรจาภาษีสหรัฐว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการทำงาน ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลต้องทำให้ดีที่สุด จดหมายจากสหรัฐยังไม่ใช่บทสรุป แต่เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราต้องทำงานกันหนักขึ้น โดยในช่วงสิ้นเดือน ส.ค.นี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะมีการปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีไทยปี 2568 อีกครั้ง โดยยังต้องรอดูว่าบทสรุปสุดท้ายแล้วตัวเลขภาษีสหรัฐจะออกมาที่เท่าไหร่
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันรัฐบาลยังมีงบประมาณอีกราว 4 หมื่นล้านบาท ที่เหลือจากการจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งได้จัดสรรไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท โดยงบที่เหลือนี้ต้องมาดูถึงผลกระทบและผลสุดท้ายของเรื่องภาษีสหรัฐว่าจะรุนแรงขนาดไหน และเม็ดเงินที่เหลือนี้จะกันไว้ลงไปช่วยเหลือในส่วนใดบ้าง
วันเดียวกัน นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพนโยบาย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่า หากพิจารณามิติความรุนแรงและมิติระยะเวลา จะเห็นว่าช็อกจากภาษีศุลกากร (Tariffs) แตกต่างกันกับช็อกในรอบการระบาดของโควิด-19 และวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ที่มีความรุนแรงระยะสั้น และเป็นหลุมดิ่งลง ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจทุกอย่างชะงักงั้น แต่ช็อกจากเรื่องภาษีสหรัฐครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะมีการพูดถึงและรับรู้การปรับขึ้นภาษีมาสักระยะแล้ว ซึ่งช็อกนี้จะมีระยะเวลาทอดยาวไปถึงปี 2569 ดังนั้น จุดยืนนโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา การปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง สามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง แต่มองไปข้างหน้า ธปท.พร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินรองรับ
"กนง.ได้ประเมินฉากทัศน์ไว้หลากหลายมาก ซึ่งตัวเลข Tariffs จะออกมาเท่าไรนั้น ไม่สำคัญมาก หรือเศรษฐกิจรายไตรมาสจะขยายตัว -0.1% หรือ +0.1% เท่ากับทิศทางเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเรามองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังไม่ดี และแผ่วลง ซึ่งจีดีพีปี 2569 เรามองที่ 1.7% ชะลอลงพอสมควร และขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ เพราะมีช็อกที่ทอดยาวเข้ามากระทบ เราไม่ตกเหวปีนี้ แต่ตกปีหน้า ดังนั้นการลดดอกเบี้ยอาจจะช่วยลดภาระหนี้ได้บ้าง แต่ไม่ได้เกิดการขอสินเชื่อใหม่ เพราะอุปสงค์ลดลง จึงต้องชั่งน้ำหนัก เพราะพื้นที่การทำนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเศรษฐกิจเข้าสู่ช็อกที่มีเยอะขึ้น การทำให้เศรษฐกิจมีความทนทานและยืดหยุ่น น่าจะดีกว่า” นายปิติระบุ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า หากดูจากประมาณการในปี 2568 และทอดยาวไปปี 2569 การขยายตัวเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสที่ 0.1% อยู่แล้ว โตค่อนข้างต่ำ โอกาสที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิคได้หรือไม่นั้น มี แต่ไม่ได้เอาเข้าไว้ใน base line เพราะโอกาสจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย จะต้องเป็นช็อกที่รุนแรงและมีขนาดใหญ่ ส่วนประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองนั้น เป็นประเด็นที่ ธปท.ติดตามอย่างใกล้ชิด
นางสาวบัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า ครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอตัวมาเหลือที่ 1.6% ส่วนปี 2569 อยู่ที่ 1.7% เป็นความท้าทายของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ที่จะมีการเติบโตได้ต่ำกว่า 2% ไปอย่างน้อยอีกปีครึ่ง รวมทั้งคาดว่าการส่งออกจะลดลงรุนแรงตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป และทำให้ครึ่งหลังของปี 2568 ติดลบ -4% และปี 2569 ติดลบต่อเนื่องที่ -2%
อย่างไรก็ดี ธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.3% โดยมีการขยายตัวที่ดีใกล้เคียง 3% ในช่วงครึ่งปีแรก และจะชะลอตัวรุนแรงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 1.7% และมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ 1.พัฒนาการของการเจรจาการค้ากับสหรัฐ และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 2.ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และ 3.ความตึงตัวของสินเชื่อในบางจุด ที่อาจะกระทบกลุ่มเปราะบางและเอสเอ็มอีมากกว่าที่คาด
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้อยู่ที่ 0.5% ส่วนปี 69 อยู่ที่ 0.8% ซึ่งการที่เงินเฟ้อของไทยที่อยู่ในระดับต่ำนั้น เป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานและอาหารสดเป็นหลัก ในขณะที่ราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการสนับสนุนด้วยว่าประเทศไทยไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง

