“เอกนัฏ” ยันหนุนกองทัพทำตามหน้าที่เต็มสูบ ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษี “จักรภพ” ย้ำเป็นเรื่องละเมิดดินแดนที่กัมพูชาต้องถูกลงโทษ “สอท.” ลั่นหากไม่มีอธิปไตยและความปลอดภัย เศรษฐกิจก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ก.ค.2568 ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โทรศัพท์พูดคุยกับผู้นำไทยและกัมพูชา เพื่อขอให้ทั้งสองประเทศหยุดยิง และขู่จะไม่เดินหน้าเจรจาภาษีการค้าหากความขัดแย้งยังดำเนินอยู่ โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กว่า ขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการใช้ความรุนแรงโดยทันที เพื่อเปิดทางให้กับการเจรจาทางการทูต ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างยั่งยืน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพื้นที่ที่ถูกโจมตี รวมถึงโรงพยาบาล โรงเรียน ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อในหลายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเขตพลเรือนที่ไม่ควรถูกแตะต้องในทุกกรณี ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
“ขอเน้นว่าพฤติกรรมเช่นนี้กำลังกลายเป็นหนึ่งในเหตุสำคัญที่จะทำให้ประเทศกัมพูชาเป็นต้นเหตุของการทำลายประเทศของตัวเอง ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ และโอกาสทางเศรษฐกิจในเวทีโลก และที่น่ากังวลยิ่งคือ ความน่าเชื่อถือของผู้นำกัมพูชา ที่ไม่มีสัจจะ และยังคงโจมตีไทยอย่างต่อเนื่อง จนถึงเช้าวันนี้ ความสงบคือเงื่อนไขแรกของการเติบโต และความเคารพต่อชีวิตมนุษย์ คือรากฐานของสันติภาพระยะยาว” นายพิชัยโพสต์
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องที่ไทยถูกกดดันให้หยุดยิง เพื่อเจรจาภาษีทรัมป์ ทั้งๆ ที่ทหารกัมพูชาใช้อาวุธสงครามยิงใส่เรา ยิงใส่โรงพยาบาล ยิงใส่บ้านเรือนผู้บริสุทธิ์ของเราก่อน ทำให้พลเรือนที่บริสุทธิ์ รวมถึงเด็กๆ ต้องบาดเจ็บล้มตาย จนกระทั่งเช้านี้ก็ยังยิงใส่ไม่หยุด ในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม ได้เตรียมแผนรับมือกับผลของภาษีตอบโต้จากทรัมป์ ไม่ว่าเรตภาษีจะจบลงที่เท่าไหร่ เพราะไม่ว่าผลการเจรจานอกบ้านจะออกมาเช่นไร จะมัวแต่ภาวนาให้สหรัฐเมตตาลดภาษีให้กับเราอย่างเดียวไม่ได้ แต่ควรจะจัดการกับปัญหาในบ้านใกล้ตัว ที่อยู่ในอำนาจของเราเองก่อน
“กองหลังคนนี้พร้อมซัพพอร์ต และเป็นกำลังใจให้กองทัพ แบบสุดซอย ไม่ต้องยั้งครับ” นายเอกนัฏระบุ
นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ปรึกษาเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้นายทรัมป์โพสต์ในลักษณะที่ดูเหมือนเชื่อมโยงสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเข้ากับประเด็นการเจรจาภาษี แต่สาระสำคัญของการพูดคุยคือการขอความร่วมมือเพื่อยุติความรุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่าการเจรจาภาษีสหรัฐ ขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจ
“เรื่องนี้มันข้ามเรื่องอธิปไตยไปแล้ว แต่มันเป็นเรื่องของการละเมิดดินแดนที่เราต้องโต้ตอบอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้กระทำผิดคือกัมพูชาได้รับการลงโทษ ตรงนี้เป็นคนละเรื่องกับการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ เรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องและเอาคืนกับชีวิตคนของเรา และความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะกัมพูชาไม่มีข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเวลาที่คนผิดต้องถูกลงโทษ” นายจักรภพกล่าว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และอดีต รมว.การคลัง กล่าวว่า ข้อเสนอของทรัมป์ครั้งนี้ สะท้อนบทบาทที่สหรัฐพยายามแสดงตนเป็นตัวกลางเจรจาเหมือนที่เคยทำกับอินเดียและปากีสถาน แต่ครั้งนี้มีเงื่อนไขด้านการค้าผูกโยงกับสถานการณ์ความมั่นคง ซึ่งไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ วันนี้ไม่ใช่เวลามานั่งถกภาษีทรัมป์ แต่คือเวลาที่คนไทยทุกคนต้องรวมใจ หนุนหลังกองทัพไทยในการวางแผนและปฏิบัติการให้ได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ในระยะยาว
“หากไทยยอมถอยหรือเร่งเข้าสู่โต๊ะเจรจาโดยไม่วางหลักประกันด้านความมั่นคงให้แน่นหนาก่อน อาจเป็นการเปิดช่องให้เพื่อนบ้านกระทำการล้ำเส้นซ้ำซาก จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐชัดเจน คือยืนหยัดเคียงข้างกองทัพไทย สนับสนุนการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์โดยไม่แทรกแซงจากการเมือง เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ และย้ำว่ากองทัพไทยยังคงเป็นเสาหลักของชาติ ที่ยึดมั่นในภารกิจปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างไม่หวั่นไหว ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เราต้องให้กองทัพมีอำนาจตัดสินใจเต็มที่ ไม่ใช่ถูกฉุดรั้งด้วยแรงกดดันจากภายนอก เพราะไม่มีใครเข้าใจดินแดนนี้ดีเท่าคนไทยเอง” นายธีระชัยกล่าว
นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในโฆษกคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ ระบุในเรื่องนี้ว่า ขอให้รัฐบาลมีความตระหนักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับไทยและกัมพูชา เพื่อมิให้มีความเอนเอียงไปยังมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเด็ดขาด และรัฐบาลต้องไม่หมกเม็ดนำเรื่องภาษี 36% เพื่อที่จะทำตามความต้องการของสหรัฐ เพราะเรื่องภาษีเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องไม่นำมาเกี่ยวข้องกับการสู้รบและข้อพิพาทในเรื่องของดินแดน
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยคือการปกป้องอธิปไตย รวมถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน คือสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด แม้ปัญหาเศรษฐกิจจะมีความสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของชาติ แต่หากไม่มีอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนแล้ว เศรษฐกิจก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้
“ภาคเอกชนมองว่าเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ แต่ยังคงยืนยันในหลักการที่ว่า อธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะหากชาติมั่นคง เศรษฐกิจก็จะดีตามมาได้” นายเกรียงไกรกล่าว และว่า หากกัมพูชายังไม่ยอมหยุด ประเทศไทยก็ไม่สามารถหยุดได้ เพราะนี่คือการปกป้องอธิปไตยและชีวิตทรัพย์สินของคนไทย ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง ทหาร และประชาชนทุกคน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69


