ผลเจรจา “ไทย-กัมพูชา” ที่มาเลเซีย ตกลง 3 ข้อ “หยุดยิงเที่ยงคืน 28 ก.ค. - 29 ก.ค.ทหารสองฝ่ายหารือ - 4 ส.ค.ประชุมจีบีซี” เสียงในไทยโวยต้องใช้แผนที่หนึ่งต่อห้าหมื่น อย่าให้ชาวบ้านตายฟรี “เขมร” เล่นเล่ห์หนักทั้งดรามาและใส่ร้าย “เมียฮุน เซน” ออกโรงจวกไทย ส่วนโฆษกดอกไม้ป้ายขี้สยามใช้อาวุธเคมี “กองทัพ-กต.” รุมประณามปั้นข้อมูลเท็จต่อสากล ชายแดนวันที่ 5 ยังระอุ ทบ.-ทอ.ยึดภูมะเขือเบ็ดเสร็จ "จิรายุ" แฉกัมพูชาสั่งแก๊งคอลฯ เบนเป้าทำสงครามไอโอ รบ.ปลุกเกรียนคีย์บอร์ดไทยตอบโต้วันละ 3 เวลา
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม หลายฝ่ายจับตากรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ที่เดินทางไปประชุมกับผู้แทนรัฐบาลกัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเซียน เกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
โดยนายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางว่า การเดินทางไปเจรจาวันนี้หลักการคือเพื่อให้หยุดยิง เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบกับพลเรือน และขอย้ำว่าหัวใจของการพูดคุยของเราคือการยึดมั่นในอธิปไตย และยืนยันว่าไม่มีการใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ยังไม่มีการคุยเรื่องนี้ตอนนี้ เราต้องยึดตามที่เราได้ประโยชน์ ส่วนเรื่องแผนที่อาจแยกคุยกันในห้องเล็กของทีมงานทั้งสองฝ่าย
“เราจะยึดมั่นในอธิปไตยของประเทศไทยเป็นหลัก ชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนเป็นหัวใจของการพิจารณา ในการเจรจาวันนี้หากมีเรื่องอะไรที่จะต้องผูกพันในระยะยาว หรือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ เราจะนำกลับเข้ามาหารือในที่ประชุมรัฐสภา”
เมื่อถามว่า เราจะมั่นใจได้อย่างไรในเมื่อที่ผ่านมากัมพูชาไม่เคยยึดมั่นในคำพูด แม้มีตัวกลางในการพูดคุย นายภูมิธรรมกล่าวว่า อันนี้เป็นหัวใจของการพูดคุย เราพูดไปแล้วว่าเราไม่เชื่อมั่นในกัมพูชา เพราะสิ่งที่กระทำมาที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นแล้วว่าเขาไม่จริงใจจริงจังในการแก้ปัญหา ดังนั้นการพูดคุยในวันนี้ก็ต้องแสดงให้เราเห็น เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกัมพูชาละเมิดข้อตกลงและกฎหมายระหว่างประเทศ และ 3 ประเทศ (มาเลเซีย จีน สหรัฐอเมริกา) ที่ยื่นเรื่องเข้ามา ทุกคนพูดประเด็นเดียวกันคือไม่อยากเห็นสงคราม และไม่อยากเห็นการกระทำที่รุนแรงไปกว่านี้ และสิ่งที่กระทำกับพลเรือนไทย ว่ากัมพูชากระทำมิชอบ การเจรจาวันนี้คือทำให้พลเมืองปลอดภัยและไม่รุกล้ำมาในเขตแดนไทย
เมื่อถามว่า ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มก่อน แล้วไทยมีเอกสารหลักฐานอะไรที่จะไปยืนยันหรือไม่ว่าเราไม่ได้เริ่มต้นก่อน นายภูมิธรรมกล่าวว่า เราได้ เตรียมการแล้ว สิ่งที่พูดไปคือเป็นการคาดการณ์ รอให้ในการเจรจาก่อน และดูว่าข้อเสนอทั้งหมดเป็นอย่างไร การที่เราไป เรายึดมั่นประโยชน์และอธิปไตยของประเทศ ยึดมั่นในเอกราช ประโยชน์ของประเทศ ประชาชนไทยเป็นสำคัญ รวมถึงการไปครั้งนี้ได้มีการปรึกษากับกองทัพด้วย ว่าต้องการอะไรก็จะนำไปเจรจาด้วย
ทั้งนี้ นายภูมิธรรมพร้อมคณะเดินทางถึงทำเนียบฯ ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมพิเศษ และเป็นบ้านพักอย่างเป็นทางการของนายกฯ ในเมืองปุตราจายา เมื่อเวลา 14.51 น.ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง จากนั้นไม่นานนายฮุน มาเนต นายกฯ เดินทางตามมา โดยมีนายอันวาร์ให้การต้อนรับบุคคลทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีนายเอ็ดการ์ด เคแกน เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำมาเลเซีย และนายโอวหยาง ยู่จิ้ง เอกอัครราชทูตจีนประจำมาเลเซีย เข้าร่วมการประชุมด้วยในฐานะผู้ร่วมอำนวยความสะดวก
สำหรับบรรยากาศการเจรจานั้น นายภูมิธรรมและนายฮุน มาเนต นั่งประชันหน้ากันภายใต้บรรยากาศตึงเครียด โดยมีธงชาติของแต่ละประเทศและธงอาเซียนประดับอยู่ด้านหลังอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันยังมีผู้แทนจากหลายประเทศร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด โดยการหารือเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 17. 30 น. ซึ่งใช้เวลาหารือนานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง
เที่ยงคืนหยุดยิง
ภายหลังการหารือเสร็จสิ้นทั้ง 3 ฝ่าย คือ ไทย กัมพูชา และมาเลเซียได้แถลงข่าวร่วมกัน โดยนายภูมิธรรมกล่าวว่า การหารือประสบความสำเร็จ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันยุติการยิง มีผลในเวลา 24.00 น.ของวันนี้ และกลับไปใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง รวมถึงได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยจะมีการประชุมระหว่างแม่ทัพภาคที่ 1 และ 2 ของฝ่ายไทยและกองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของกัมพูชา ในวันที่ 29 ก.ค. 2568 เวลา 07.00 น. โดยจะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย นอกจากนี้ไทยขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่แสดงความกังวลและความปรารถนาดี
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ ในฐานะคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวถึงผลการประชุมว่า ได้บรรลุความเข้าใจร่วมกันดังนี้ 1.ตกลงหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น.คืนนี้ (เวลาท้องถิ่น) ของวันจันทร์ที่ 28 ก.ค. 2025 2.จัดประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้บัญชาการกองกำลังของทั้งสองประเทศ ได้แก่ กองทัพภาคที่ 1 และ 2 ของฝ่ายไทย และกองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของฝ่ายกัมพูชา โดยให้มีขึ้นในเวลา 07.00 น.ของวันอังคารที่ 29 ก.ค. 2025 จากนั้นจะมีการประชุมกับผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร โดยมีประธานอาเซียนเป็นผู้จัด หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน และ 3.การจัดการประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ในวันที่ 4 ส.ค. 2025 โดยกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
“นายกฯ มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน พร้อมทำหน้าที่ประสานงานจัดตั้งทีมผู้สังเกตการณ์ เพื่อตรวจสอบและรับรองการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าว และทั้งสองฝ่ายยังตกลงฟื้นฟูช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกฯ รมว.การต่างประเทศ และ รมว.กลาโหมของแต่ละประเทศ”
ด้านนายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ภายหลังการเจรจาว่า การคุยกันวันนี้ไม่ได้คุยถึงเรื่องการเปิดด่าน แต่คุยเรื่องการหยุดยิงเพื่อลดความเสียหายของพลเรือน และจากนี้จะเข้าสู่กลไกของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่ผ่านมาทหารทั้งสองฝ่ายมีบทบาทในการพูดคุยเพื่อหาทางออก และมีความสัมพันธ์กันในฐานะที่ฝึกรบร่วมกันมา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเราไม่สามารถยอมรับได้ เพราะต้องยึดถืออธิปไตยของเรา และต้องทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ส่วนผลสรุปการหารือโดยรวมที่ออกมา ฝ่ายคนกลางคือ นายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน ได้แจ้งให้ทางอาเซียนทราบ และทุกฝ่ายดีใจกับข้อสรุปที่ออกมา ขณะที่จีนและสหรัฐอเมริการู้สึกพึงพอใจ ส่วนไทยก็รู้สึกว่าได้ยุติปัญหาเรื่องการสูญเสียชีวิตของพลเรือน
“ขอย้ำว่าไม่ได้ให้ใครรุกล้ำอธิปไตยของประเทศเข้ามาได้ ส่วนเรื่องที่จะต้องคุยกันต่อไปต้องดูว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร โดยให้ทหารเป็นฝ่ายนำหาข้อสรุปในเรื่องนี้”
นายภูมิธรรมกล่าวด้วยว่า ทีมไทยแลนด์ที่เดินทางมาในครั้งนี้ ทั้งกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับการประสานงานจากทุกฝ่ายและจากประชาคมโลก ทั้งประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา จีน และอาเซียน เพราะอยากเห็นการยุติความรุนแรง เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้พลเรือนสูญเสียชีวิต และความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยครั้งนี้ เชื่อว่าประชาคมโลกเข้าใจเราและรู้ว่าเราเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ทั้งที่เราพยายามแสวงหาสันติวิธี และวิธีการที่จะทำให้เป็นไปตามกฎหมาย ผลการพูดคุยวันนี้ถือว่าบรรลุข้อตกลงตามที่เราแจ้งที่ประชุม ว่าการจะยุติใดๆ ต้องยึดมั่นในผลประโยชน์ของประชาชนไทย ไม่สูญเสียเอกราชของประเทศ และไม่มีอะไรกระทบกระเทือนเรื่องเขตแดนหรืออธิปไตยของประเทศ
สำหรับความคิดเห็นของฝ่ายต่างๆ ก่อนการเจรจานั้น นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ขอให้รัฐบาลไทยย้ำจุดยืนให้ชัดว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายก่อเหตุรุนแรง ทำผิดข้อตกลงในสัญญาหลายฉบับ และขอให้รัฐบาลไทยยืนยันกับประธานอาเซียนเรื่องการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งมีความชัดเจนกว่ากัมพูชา
“การกระทำของฮุน มาเนต, ฮุน เซน และกองกำลังเขมร เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้นำชาติไหนทำกัน เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่ใช่นักรบสุภาพบุรุษ แม้แต่เด็กชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ก็ไม่เว้น เรื่องนี้ในฐานะคนไทยยอมรับไม่ได้ และขอให้รัฐบาลไทยเสียงแข็งยืนยันหนักแน่นไม่อ่อนข้อ ย้ำเรื่องความรับผิดชอบจากกัมพูชาต่อเหตุการณ์รุนแรงนี้จนถึงที่สุด” นายธนกรกล่าว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ขอเรียกร้องให้ผู้เจรจาต้องสอบถามกองทัพไทยอย่างเป็นทางการก่อน ว่าต้องมีเงื่อนไขขั้นต่ำอย่างไร ในฐานะเป็นประชาชนที่ไม่ชำนาญด้านการทหาร คิดเอาเองว่าเงื่อนไขขั้นต่ำอาจรวมถึง 1.กำหนดเขตรัศมีห่างจากพรมแดนที่ห้ามนำฐานยิงจรวดพิสัยไกลเข้ามาประชิดชายแดนไทย 2.ต้องไม่มีทหารกัมพูชาเหลืออยู่ในบริเวณปราสาทย่อย และต่อไปนี้กองทัพจะส่งทหารไทยเข้าประจำการ พร้อมทั้งจะซ่อมสร้างกำแพงที่รื้อไปในปี 2554 และ 3.เงื่อนไขการเปิดด่านและการใช้สาธารณูปโภคจะกำหนดโดยกองทัพไทยฝ่ายเดียว
นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด โดยควรยึดแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 และยกเลิก MOU ฉบับที่ 43 และ 44 ซึ่งไม่เอื้อต่อไทย พปชร.ขอยืนเคียงข้างประชาชนในการปกป้องแผ่นดินไทย และพร้อมสนับสนุนทุกแนวทางที่ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างไม่ประนีประนอม
ลั่นไทยต้องไม่ตายฟรี
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว. โพสต์เฟซบุ๊กว่า "การไปเจรจากับฮุน มาเนต จะเป็นการรับรองความชอบธรรมให้กับอาชญากรสงครามมือเปื้อนเลือด พ่อลูกตระกูลฮุนหรือไม่ ขอให้คิดดูให้ดี ไทยสมควรฟ้องฮุน เซน, ฮุน มาเนต ในฐานะอาชญากรสงคราม ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ และเรียกค่าเสียหายที่ทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิต ขอประกาศว่าพลเรือนไทยต้องไม่ตายฟรี!!"
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์ว่า "ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ขอประกาศไม่ยอมรับผลและข้อตกลงใดๆ ที่นายภูมิธรรมจะไปทำการเจรจาตกลงใดๆ กับตัวแทนกัมพูชา ณ ประเทศมาเลเซีย เนื่องจากนายภูมิธรรมมีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจ"
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า "เราต้องไว้ใจนายภูมิธรรมก่อน ว่าเป็นคนไทย คงเจรจาไม่ให้เสียเปรียบเขมร เอาแค่ 2 เรื่องให้ได้ก่อน คือ 1.ต้องใช้แผนที่ 1:50,000 เป็นมาตรฐานในการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่าย และ 2.การเจรจาต้องใช้พื้นที่ ซึ่งแต่ละฝ่ายตั้งครอบครองอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ห้ามย้อนหลังกลับไปใช้พื้นที่เดิมก่อนการปะทะกันด้วยกำลังอย่างเด็ดขาด"
“ถ้าคุณภูมิธรรมเจรจาออกไปนอกกรอบ 2 ข้อนี้ ก็ประมาณว่ารัฐบาลไทยคงได้พูดคุยตกลงอะไรไว้กับฮุน เซนมาก่อนแล้ว คราวนี้ก็เป็นหน้าที่อันชอบธรรมของประชาชนต้องออกมาแสดงท่าทีต่อรัฐบาลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น" พล.ท.นันทเดชระบุ
ขณะที่นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการ รมว.การต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า "ต้องให้เขายอมแพ้ก่อน จะรีบไปไหน นายกฯ อะไหล่จะไปเจรจากับฮุน มาเนตอย่างไร เขมรยังยิงปืนใหญ่ใส่คนไทยในแนวหลัง จนถึงวันนี้ก็ยังรุกรานไทยอยู่ไม่หยุด รัฐบาลจะหักหลังทรยศคนไทยหรือ การรบยังติดพัน ให้เราชนะเด็ดขาด ให้ฝ่ายตรงข้ามบอบช้ำมากกว่านี้ ค่อยเจรจาก็ไม่ช้าเกินไป คำเดียวก็ไม่เคยขอโทษ ยังไม่เคยเอ่ยปากขอเจรจา อย่างนี้เท่ากับยอมให้เจ๊ากันไป ชีวิตคนไทยและทหารไม่มีความหมาย รัฐบาลอยู่ไม่ได้ถ้าหักหลังคนไทย"
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า "นายภูมิธรรมต้องไม่รับปากหรือยอมรับใดๆ แต่ต้องเอาหลักฐานที่กัมพูชายิงใส่เป้าหมายพลเรือน และโรงพยาบาล ไปประท้วงว่ากัมพูชาเป็นอาญากรสงคราม ทำได้แค่นี้ งดเจรจา"
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ประชาชนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยต้องมาเสียชีวิตมากมาย ต้องถามดูว่าสองตระกูลนี้ทำอะไรกัน ต่อไปก็เป็นเรื่องที่สองประเทศต้องเจรจาเพื่อสงบศึกให้ได้โดยเร็ว
“กองทัพทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว เอาชีวิตเพื่อแลกกับอธิปไตย รักษาประเทศชาติเอาไว้ ทหารถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ไม่ต้องห่วงเรื่องการสู้รบ แต่ที่เป็นห่วงคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิต ผมได้ให้กำลังใจทหารและประชาชนและส่งของไปให้แล้ว ก็ทำอย่างไรได้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นจากคนสองคน และคนสองตระกูลต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียครั้งนี้”
สำหรับสถานการณ์การสู้รบในวันที่ 5 นั้น พบว่ากัมพูชาได้ยิงกระสุนและจรวดมายังฝั่งไทยต่อเนื่องตั้งแต่ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ตี 1 ตี 3 จนฟ้าเริ่มสาง โดย พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ยังคงมีการปะทะในหลายพื้นที่ ได้แก่บริเวณช่องจอม จ.สุรินทร์ พื้นที่เขาพระวิหาร และปราสาทโดนตวล จ.ศรีสะเกษ พื้นที่ช่องอานม้า และช่องบก จ.อุบลราชธานี ในภาพรวมการสู้รบยังคงโจมตีเข้ามาด้วยอาวุธยิงสนับสนุน และอาวุธหนักหลายชนิด ซึ่งฝ่ายไทยได้ยิงโต้ตอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อขัดขวางและทำลายอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา รวมถึงลิดรอนกำลังรบของฝ่ายกัมพูชาให้หมดขีดความสามารถในการรุกล้ำเข้าสู่ภูมิประเทศสำคัญที่ฝ่ายเราได้ยึดครองไว้แล้ว โดยปฏิบัติการรบร่วมกับกองทัพอากาศอย่างใกล้ชิด
มทภ.2 ลั่นยังสบายดี
ขณะที่เพจกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ชี้แจงกรณีมีภาพการระเบิดที่อาคารร้างฝั่งกัมพูชาระบุว่า ตามที่ปรากฏข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ เหตุการณ์การระเบิดบริเวณอาคารร้างฝั่งกัมพูชาซึ่งอยู่ใกล้แนวชายแดนไทย พบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนวิถีโค้งไว้บริเวณพื้นที่พลเรือน และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหารในหลายพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมากัมพูชาใช้อาวุธดังกล่าวโจมตีพื้นที่พลเรือนของฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย อันถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ซึ่งเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมสากล
ขณะเดียวกัน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุถึงกรณีสื่อกัมพูชามีการรายงานและเผยแพร่รูปทหารถือภาพของตนเอง พร้อมข้อความ RIP ว่าเป็นข่าวปลอม หวังทำลายขวัญกำลังใจทหารแนวหน้าและคนไทย ยืนยันว่ายังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าหน้าที่ทหารทุกคนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการปกป้องอธิปไตยของไทยต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและประชาชนมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง
“กัมพูชาพยายามบิดเบือนข้อมูล โดยการปล่อยข่าวเท็จ สร้างความสับสนในหมู่ของคนไทย ดังนั้นอยากให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้”
นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 2 ยังได้ขอความร่วมมือ ชาวโซเชียลไทยกดรีพอร์ตโพสต์หรือคอมเมนต์ของผู้ไม่หวังดี ที่ต้องการเข้ามากลั่นแกล้ง ก่อกวน และโจมตีสื่อทางการไทย พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม
ส่วนเพจ SMART Soldiers Strong ARMY หนึ่งในช่องทางโซเชียลมีเดียของกองทัพบก ได้เผยแพร่คลิปปฏิบัติการโดรนทิ้งระเบิดภูมะเขือก่อนยึดพื้นที่ได้สำเร็จ รวมทั้งเผยแพร่ภาพตัดสลิงกระเช้าและบันไดที่ฝ่ายกัมพูชาสร้างขึ้นผิด MOU 43 ก่อนรื้อถอนฐานกระเช้าและบันไดภูมะเขือ ตัดเส้นทางไม่ให้ทหารกัมพูชาขึ้นมาบนภูมะเขือได้อีก ซึ่งปัจจุบันทหารกัมพูชาประจำบริเวนด้านล่างหน้าผาภูมะเขือ ล่าสุดไทยยังได้ระเบิดทำลายเสาสัญญาณเครือข่าย SMART ของกัมพูชาบนยอดภูมะเขือด้วย
ส่วน พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้กล่าวหาไทยว่าใช้อาวุธเคมีโจมตีพื้นที่กัมพูชา เช่นเดียวกับเฟซบุ๊ก ดร.เพชร จันทมุนี ฮุน มาแนต ภริยานายกฯ กัมพูชา สตรีหมายเลข 1 กัมพูชา แชร์ภาพพร้อมเขียนข้อความว่าไทยใช้แก๊สพิษ ซึ่งภาพที่นำมาโพสต์นั้นเป็นภาพจากกูเกิล
ล่าสุด เพจกองทัพอากาศไทยได้โพสต์ข้อความว่า เป็นข้อกล่าวหาเท็จที่ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเพียง Fake News ที่ปรากฏในสื่อสังคมของทางกัมพูชาเท่านั้น
แหล่งข่าวจากกองทัพอากาศระบุว่า รูปทหารกำลังผสมสารมีลักษณะสีชมพู มีชื่อว่าสารยับยั้งไฟป่า ทาง ทอ.มีสูตรกองทัพอากาศ 1 ที่ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร (ศอว.ศอพท.) ผลิตเอง และ Phos-Chek ที่นำเข้ามาเมื่อนานแล้ว
ไทยโต้ใช้อาวุธเคมี
ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทยปฏิเสธเด็ดขาดต่อคำกล่าวอ้างของ พล.ท.หญิงมาลี ว่าไม่มีมูลความจริง และเป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างร้ายแรง ประเทศไทยไม่เคยมีนโยบายในการพัฒนา ผลิต ครอบครอง หรือใช้อาวุธเคมีในทุกกรณี ในทางกลับกันโฆษกกลาโหมกัมพูชากลับใช้ข้อมูลข่าวสารปลอม เป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเองในสายตาประชาคมโลก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เพียงแต่ขาดความรับผิดชอบ แต่ยังถือเป็นการกระทำที่แฝงด้วยเล่ห์เพทุบาย บิดเบือนความจริง และเป็นภัยต่อสันติภาพในภูมิภาค
“ประเทศไทยจะไม่ยอมให้ความเท็จของฝ่ายใดมากลบเสียงของความจริง และจะดำเนินการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมที่บิดเบือน เสื่อมเสีย และละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมของผู้นำกัมพูชา ซึ่งอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงครามอย่างชัดเจน ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกตระหนักถึงพฤติกรรมดังกล่าว และร่วมกันประณามการใช้ข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในเวทีสากล”
กต.ชี้แจงเช่นกันว่า ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ ประเทศไทยยืนยันการยึดมั่นต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี และยืนหยัดในท่าทีในการประณามการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะเป็นที่ใด โดยผู้ใด หรือภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศขอประณามการออกข่าวบิดเบือนที่ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะมาพบกัน
ต่อมา พ.อ.กัมปนาท วาพันสุ รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 แถลงสรุปสถานการณ์การสู้รบว่า ฝ่ายกัมพูชา ระดมยิง BM-21 หลายแนวรบ โดยเฉพาะเนิน 677, ภูผี, ผามออีแดง-พระวิหาร และภูมะเขือ นอกจากนั้นยังพบ ความเคลื่อนไหวระบบขีปนาวุธ PHL-03 ในพื้นที่สนามบินสำโรง จ.อุดรมีชัย ส่วนฝ่ายไทยตอบโต้ตามระดับภัยคุกคามอย่างเท่าเทียม จนถึงการใช้อาวุธต่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ช่องบก, ช่องอานม้า, ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม นอกจากนี้เกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์-พบกลุ่มแฮกเกอร์ชาวกัมพูชาเจาะระบบของส่วนราชการต่างๆ ผ่าน CORS/N C D C และยังตรวจพบทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่แนวหน้า ขณะที่ฝ่ายไทยเข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อวางกำลัง นอกจากนั้นยัง ปรากฏว่าฝ่ายกัมพูชามีการยิงพลาดใส่ฝ่ายเดียวกัน ในพื้นที่ช่องอานม้าและผามออีแดง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการที่มีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาหลายหน่วย ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการติดต่อสื่อสาร
ต่อมาในช่วงเย็น ฝั่งกัมพูชาก็ยังใช้อาวุธหนักยิงเข้ามาฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ ปฏิบัติภารกิจพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ รอบที่ 2 โดยรอบแรกเกิดขึ้นในช่วงเช้าที่ผ่านมา ผลการปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมาย พร้อมกลับฐานปฏิบัติอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกับช่วงเช้าที่ผ่านมา
โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 28 ก.ค. 2568 ณ เวลา 12.00 น. ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาควาย พบว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความมุ่งมั่นในการยึดรักษาและพยายามเข้าควบคุมพื้นที่ พบการรวมกำลังและเพิ่มเติมกำลังขึ้นมาจากพื้นที่ตอนในของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง หวังเข้ายึดพื้นที่ก่อนถึงเดดไลน์หยุดยิง เที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค
ขณะเดียวกันได้มีการเผยแพร่ภาพฮุน เซน ในลักษณะทำงานมือเป็นระวิง มือหนึ่งถือวิทยุสื่อสารแบบใส่ซิมการ์ด ซึ่งสั่งการแนวรบไกลข้ามจังหวัดได้ โดยวิทยุสื่อสารประเภทนี้รองรับแอปพลิเคชัน WOR และ Zello สามารถใช้ได้ทั้งเครือข่าย 3G/4G และ Wi Fi ทำให้สื่อสารข้ามจังหวัดได้ไร้ขีดจำกัด อีกมือหนึ่งถือแว่นขยายเพื่อดูแผนที่
ส่วนบุน รานี ภริยาของฮุน เซน ได้ลงพื้นที่จังหวัดพระวิหาร ในฐานะประธานสภากาชาดกัมพูชา เพื่อมอบสิ่งของยังชีพแก่ประชาชนที่อพยพหนีภัยจากแนวชายแดน โดยระหว่างพิธี บุน รานี ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ กล่าวหากองทัพไทยว่าเป็นฝ่ายรุกราน ทำให้ชาวกัมพูชาต้องพลัดถิ่นฐาน
สำหรับการปรากฏตัวของบุน รานีครั้งนี้ นอกจากจะสะท้อนแนวทางสื่อสารแบบดรามาของรัฐบาลกัมพูชาแล้ว ยังถูกมองว่าเป็นความพยายามสร้างภาพให้ฝ่ายไทยเป็นผู้รุกราน ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนที่ยังตึงเครียด
แฉแปลงโฉมแก๊งคอลฯ
ขณะที่กองทัพบกได้รับรายงานกำลังพลเสียชีวิตจากการสู้รบในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จำนวน 1 นาย คือ สิบเอก อัมรินทร์ ผาสุข สังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 โดยกองทัพบกขอสดุดีแด่กำลังพลผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยขณะนี้ฝ่ายไทยสูญเสียชีวิตทหารจากการรบตั้งแต่วันแรกถึงวันที่ 5 รวม 9 นาย
ด้านนายจิรายุกล่าวว่า นับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. 2568 ที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทย-กัมพูชา ฝ่ายความมั่นคงรายงานว่า พบการโจมตีทางไซเบอร์จากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากกัมพูชามายังสื่อต่างๆ ในประเทศไทย เช่นเปิดเป็นบัญชีผู้ใช้งานปลอมเป็นคนไทยนับล้านบัญชี ทั้งในเฟซบุ๊ก, ไอจี และเอ็กซ์ และเข้าไปกดรีพอร์ตเฟซบุ๊ก ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไทย ด่าทอกองทัพไทยและรัฐบาลเป็นจำนวนมาก และโจมตีด้วย DDos Attack ถึงกว่า 500 ล้านครั้งภายในเวลา 24 ชั่วโมง และพบว่าวันนี้สถิติการหลอกลวงทั้งทางคอลเซ็นเตอร์และไซเบอร์จากกัมพูชาลดลงเหลือไม่ถึง 5% แต่กลับพบว่ามีการเปลี่ยนเป้าหมาย โดยสั่งการให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ดำเนินการเข้ามาถล่มโซเชียลมีเดียของไทย และชักจูงให้คนไทยด่าคนไทยกันเองอย่างต่อเนื่องมากกว่า 90% ซึ่งวันนี้คนไทยทุกคนสามารถเป็นนักรบได้ โดยช่วยกันเข้าไปตอบโต้วันละอย่างน้อย 3 เวลา แทนการด่าคนไทยหรือรัฐบาลด้วยกันเอง ตามที่ไอโอกัมพูชาปฏิบัติการอยู่
“ขอให้คนไทยไม่หลงเชื่อไอโอเขมร ไม่ว่าจะโดนโจมตีทางไซเบอร์ในรูปแบบใด ขอให้เชียร์คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ภาครัฐ ภาคเอกชนหรือภาคการเมือง ซึ่งมีเจตจำนงในการต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และขอย้ำว่าหากจัดเพียงวันละ 3 โพสต์ หรือตอบโต้ด้วยนักรบไซเบอร์ไทยที่ใครๆ ก็ช่วยชาติได้ กว่า 70 ล้านคนก็จะเท่ากับกว่า 200 ล้านโพสต์ต่อวัน นั่นคือนักรบภาคประชาชนคนไทยที่สามารถทำได้”
นายจิรายุยังกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่า นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้ลงนามในประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นการยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม แผ่นดินไหว เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณชายแดนอำเภอบัวเชด, สังขะ, กาบเชิง และพนมดงรัก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยตอกหน้าเขมร กลางวงประชุมเจนีวา ขอ 'เลขาUN' ตั้งผู้ตรวจสอบอิสระ พิสูจน์ทุ่นระเบิดชายแดน
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงในวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 ณ นครเจนีวา
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง


