“เพื่อไทย” ตีปี๊บผลงานปิดดีลภาษีสหรัฐ 19% ชี้ยังแข่งขันได้ในเวทีโลก ฟุ้งได้ประโยชน์ ค่าไฟ-ค่าก๊าซหุงต้มอาจถูกลง ยันรัฐบาลพร้อมเปิดข้อมูล แต่พรรคร่วมฯ พาเหรดบอกไม่รู้มีสินค้าใดเปิดให้มะกัน “กล้าธรรม” ขึงขังปกป้องสินค้าภาคเกษตร นักวิชาการเตือนเตรียมรับสินค้าจีนทะลักอีกระลอก
เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2568 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีสหรัฐอเมริกาเก็บอัตราภาษีต่างตอบแทนของไทยที่ 19% ว่า พรรค พท.ขอชื่นชมการทำงานอย่างเต็มที่ของทีมไทยแลนด์ภายใต้การนำของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่สามารถปิดดีลข้อตกลงภาษีเบื้องต้นได้ในอัตรา 19% ถือเป็นอัตราที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน
“ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขภาษีเท่านั้น แต่สะท้อนถึงความเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างไทยและสหรัฐ รวมถึงศักยภาพของรัฐบาลไทยที่สามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติ และสร้างสมดุลระหว่างการเปิดตลาดและการปกป้องภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ” น.ส.ขัตติยากล่าว
น.ส.ขัตติยากล่าวว่า ทุกข้อเสนอของไทย เช่น การเปิดนำเข้าสินค้าของไทยที่ไม่สามารถผลิตได้เองในเชิงพาณิชย์ เช่น เชอร์รี หรือก๊าซธรรมชาติ การปรับโครงสร้างการนำเข้าพลังงานจากสหรัฐ ทั้งหมดล้วนผ่านการคิดคำนวณบนพื้นฐานของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ และวางมาตรการคุ้มครองเกษตรและอุตสาหกรรมของไทยควบคู่กันไป ซึ่งสิ่งที่ไทยจะได้ประโยชน์จากภาษีดังกล่าวในอนาคต เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม อาจถูกลง อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนจะเติบโต สินค้านำเข้าจะถูกลงจากกฎระเบียบที่ถูกแก้ไข และจะได้โอกาสในการปรับโครงสร้างด้านการผลิตในอนาคต
“ทุกกระบวนการเจรจาจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส เปิดเผยข้อมูล และพร้อมรายงานต่อสาธารณะในทุกขั้นตอน เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมรับรู้และร่วมตรวจสอบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่พรรคเพื่อไทยได้ยึดถือเสมอมา” น.ส.ขัตติยาระบุ
ด้านนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ไม่ทราบในรายละเอียดเลยว่าสินค้าตัวใดบ้างที่รัฐบาลไปทำข้อตกลงกับสหรัฐ โดยหากมีผลกระทบ ก็ต้องใช้งบประมาณที่ตั้งขึ้นมามาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และต้องหามาตรการรองรับในระยะยาว ในส่วนนี้คิดว่ามีความจำเป็นต้องมีงบประมาณจำนวนหนึ่งให้นายกรัฐมนตรีได้บริหารจัดการ
นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ และโฆษกพรรคกล้าธรรม (กธ.) ยอมรับว่า หลังลงพื้นที่และได้พูดคุยกับเกษตรกร พบว่ามีความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเกษตรไทยที่เป็นฐานรากสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรและโคเนื้อกังวลว่าสินค้าเกษตรและปศุสัตว์จากสหรัฐ โดยเฉพาะเนื้อหมูที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงและเนื้อวัว อาจส่งผลให้ผู้เลี้ยงสัตว์ในไทยไม่สามารถแข่งขันได้ และถึงขั้นต้องเลิกอาชีพที่ทำมาทั้งชีวิต อีกทั้งยังขัดกับไทยที่มีกฎหมายห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งจะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค
“ขอฝากไปยังรัฐบาลให้ช่วยเร่งคลายข้อกังวลต่อเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องมาตรการเยียวยาเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเยียวยา กองทุนเพิ่มขีดความสามารถให้กับเกษตรกรรายเล็ก รายย่อย ที่ขาดศักยภาพในการลงทุน สส.พรรคกล้าธรรมพร้อมเป็นปากเป็นเสียงสะท้อนข้อกังวลของพี่น้องเกษตรกรให้รัฐบาลเมื่อมีการนำวาระข้อตกลงทางการค้าไทย-อเมริกาเข้าสภาเพื่ออนุมัติ” นายอัครแสนคีรีกล่าว
นายอัครแสนคีรีย้ำว่า พรรค กธ.ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษา มีจุดยืนชัดเจนว่าเราจะไม่ยอมให้เกษตรกรไทยต้องเสียเปรียบจากการเปิดตลาดที่ไม่เป็นธรรม พรรคจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกรให้ได้มากที่สุด เพราะเกษตรกรไทยไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลังในการต่อรองกับชาติมหาอำนาจ
ส่วน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า อัตราภาษี 19% ที่สินค้าส่งออกไทยถูกจัดเก็บเป็นอัตราใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน จึงทำให้สินค้าไทยในตลาดสหรัฐอเมริกายังคงแข่งขันได้ดี ทำให้ตัวเลขส่งออกไม่ติดลบ โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีอัตราการขยายตัวของส่งออกไทยจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5%
รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า ไทยควรทำข้อตกลงการค้าเสรีเพิ่มเติมกับประเทศต่างๆ ที่เป็นประตูสู่การค้าของภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก และใช้ประโยชน์จากการทำข้อตกลงเอฟทีเอกับเปรูในการเจาะตลาดลาตินอเมริกามากขึ้น โดยไทยสามารถเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางด้านอาหารและสามารถขยายตลาดส่งออกไปยังตะวันออกกลางผ่านข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยทำกับบาห์เรนได้ นอกจากนี้ควรเร่งรัดเจรจาเอฟทีเอกับอียูและแคนาดาเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตลาดส่งออกไทย
“อัตราภาษีสวมสิทธิหรืออัตราภาษีสำหรับสินค้า Transshipment 40% กระทบสินค้าส่งออกจีนหนัก ขณะเดียวกันจะทำให้สินค้า Re-Export ในไทยมีแนวโน้มลดลง โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีจำกัด เพราะสินค้าเหล่านี้มีผลต่อมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจน้อยมาก แต่การเจอกับอัตราภาษีสูงของสินค้าสวมสิทธิจากจีน จะทำให้มีการขายสินค้าดังกล่าวมายังตลาดไทยและตลาดภูมิภาคเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตภายในต้องเตรียมรับมือสินค้าถูกจากจีนทะลักอีกระลอกหนึ่ง” รศ.ดร.อนุสรณ์ระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถอดบทเรียนห้ามเกียร์ว่าง คนละครึ่งฯช่วยน้ำท่วมใต้
"บวรศักดิ์" ถก "สตง." วางกรอบตรวจจ่ายเงินในภาวะฉุกเฉิน ชง ครม.ใช้หลักการเดียวกันทั่วประเทศกรณีภัยพิบัติ
หนุนคนแก่ออม หักลดหย่อนภาษี สูงสุด8แสนบาท
นายกฯ มอบ “เอกนิติ” ประชุม คกก.เศรษฐกิจ รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win
นร.นอกระบบ ร่วมน้อมรำลึก พระพันปีหลวง
พระราชวงศ์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย "พระพันปีหลวง" นักเรียนการศึกษานอกระบบเข้ากราบพระบรมศพฯ
สส.แห่โชว์กึ๋นจัดการกัมพูชา
พรั่งพรูพรรคการเมืองระดมมันสมอง นำเสนอวิธีจัดการกับกัมพูชา "หัวหน้าเท้ง" การสงครามก็เก่ง สวมบทขงเบ้งแนะวิธีปิดเกม
ทวงคืนหลายพื้นที่! ยึดปราสาทคนา-รุกคืบตาควาย-พลีชีพ1เจ็บ18/รบ.ไม่เจรจา
ศึกชายแดนไทย-กัมพูชาระอุ! เขมรเปิดแนวรบตั้งแต่ตีห้าในหลายพื้นที่ทั้ง “อุบลฯ-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์-สระแก้ว”
มั่นใจ‘ชาวหาดใหญ่’ใช้ชีวิตปกติ
"มท.3" สั่งทุกหน่วยระดมกำลังเร่งฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม ตามเป้า “7 วันกลับบ้าน 14 วันสะอาด” ห่วง 11-14 ธ.ค.ฝนถล่มซ้ำ

