‘อ้วน’ขึ้นเหนือ จับไอซ์700กก. ปราบยาสิ้นซาก

“ภูมิธรรม” บินเชียงใหม่ โชว์แถลงจับไอซ์ล็อตใหญ่ 700 กิโลกรัม มอบนโยบายตำรวจภาค 5 ประกาศยกยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ   จัดการขั้นเด็ดขาด กำจัดให้สิ้นซาก ชี้ความรู้สึกของประชาชนคือคำตอบความสำเร็จ

ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม เวลา 10.00 น.   นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายปฏิบัติการ "No Drugs No Dealers สู่ Zero Drugs Thailand" พร้อมทั้งติดตามการปฏิบัติการและแถลงข่าวการจับกุมคดียาเสพติด โดยกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางเป็นยาไอซ์ 700 กิโลกรัม

โดย พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้รายงานสรุปผลการดำเนินงานปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67-18 ส.ค.68 โดยสามารถจับกุมยาบ้าได้ 222,091,726 เม็ด, ไอซ์ 11,462.83 กิโลกรัม, เคตามีน 1,842.92 กิโลกรัม, เฮโรอีน 197.92 กิโลกรัม และฝิ่น 155.88 กิโลกรัม สามารถจับกุมคดียาเสพติดทุกข้อหา จำนวน 22,467 ข้อหา ผู้ต้องหา 20,265 คน จับกุมตามหมายจับ 984 หมาย ผลการดำเนินคดีข้อหาสมคบ/สนับสนุน 376 คดี ผลการดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน 16 คดี

พล.ต.ต.ธนะรัชต์ยังระบุถึงปัญหาอุปสรรคว่า  ปีนี้จับกุมยาบ้าได้เป็นจำนวนมาก คดีไหนที่จับกุมได้เกิน 1 ล้านเม็ด จะต้องส่งไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่ทุ่งสองห้อง แต่คิวการตรวจใช้เวลานานมาก บางคดีเกินเวลาที่ต้องไปฝากขัง ทำให้มีผลเสียต่อรูปคดี

นายภูมิธรรมกล่าวมอบนโยบายว่า สังคมไทยรับรู้ได้ว่ายาเสพติดเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและประเทศชาติของเรา โดยเฉพาะพี่น้องประชาชน จนถึงปัจจุบันประชาชนรู้สึกว่าปัญหาเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม พ่อแม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อแม่ ทำให้เกิดปัญหาที่พัวพันในสังคมหลายส่วน ครอบครัวแตกแยก เราไม่เกิดสภาพแบบนี้ ดังนั้นที่เรากำหนดให้ยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำ ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ซึ่งพร้อมที่จะบูรณาการทุกภาคส่วนมาช่วยกันแก้ไขปัญหา แก้คนเดียวไม่ได้ ขณะนี้แนวโน้มกำลังดีขึ้น

โดยสิ่งสำคัญคือขณะนี้เราเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย เป็นนโยบายของรัฐบาล จะจับกุมได้มากขึ้นเพราะเรามีเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น  สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ได้อนุมัติรถเอกซเรย์ยาเสพติดเคลื่อนที่ ได้มาแล้ว 5 คัน คาดว่าอีกสองเดือนได้ของ จะช่วยทำให้การจัดการสกัดกั้นทำได้ดีขึ้น เข้าใจว่าอยู่ที่ภาคเหนือและภาคใต้ ยังขาดที่ภาคอีสาน ทราบมาว่าขณะนี้ได้ทำเรื่องขอไปอีก 4 คัน

นายภูมิธรรมกล่าวว่า รัฐบาลกำหนดนโยบายและมาตรการที่เข้มข้นครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เรามีมาตรการป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม ควบคู่กับการตรวจสอบสถานบันเทิงสถานมั่วสุมต่างๆ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการปราบปรามผู้มีอิทธิพลด้วย ซึ่งฝ่ายปกครองรับนโยบาย เพราะกระทรวงมหาดไทยเรามีกลไกตั้งแต่ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ไปจนถึงผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) กว่า 7 แสนคน เข้าเอกซเรย์ถึงชุมชน เชื่อว่าสถานการณ์จะเบาบางลง

 “สิ่งที่สำคัญคือนโยบายของรัฐบาลเน้นการจัดการขั้นเด็ดขาด เป็นเรื่องที่เราจะไม่ปล่อยปละละเลย เราจัดการผู้ค้ารายใหญ่ ยาเสพติดข้ามชาติ หากไม่จัดการปัญหาจะบานปลายไปเรื่อยๆ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ต้องกำจัดยาเสพติดให้สิ้นซากไปจากสังคมไทย" นายภูมิธรรมระบุ

ส่วนการบำบัดรักษาฟื้นฟูต้องร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน ฝากทางผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยกันทำตรงนี้ จะทำเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ไม่ได้ ต่อไปก็ต้องเดินหน้าตรวจสอบสถานบันเทิงผิดกฎหมาย หากใครทำได้ดีควรจะมีรางวัลให้

สำหรับภาพรวมการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดตามบัญชีรายชื่อที่สำรวจทั่วประเทศ จับกุมแล้ว 16,800 คน ยังเหลืออีกประมาณ 4,000 คน นำเข้าสู่การบำบัดรักษาแล้ว 140,000 คน ยังอยู่ระหว่างการรอบำบัดประมาณ 68,000 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นยอดที่มีการพัฒนาขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดความรู้สึกของประชาชนเป็นคำตอบของความสำเร็จ ตัวเลขไม่ใช้คำตอบสูงสุด แต่ถ้าประชาชนบอกว่าดีมาก ยาเสพติดหมดไป มีความสุข นั่นคือผลสำเร็จของการทำงาน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.