รัฐบาล146เสียง บี้โหวต‘หนู’5ก.ย.

เพื่อไทยจับมือ "ฉลาด-รอง ปธ.สภาฯ"  ขวาง "อนุทิน-ภท." สุดตัว ไม่ให้สภาโหวตเป็นนายกฯ คนที่ 32 ศุกร์นี้ 5 ก.ย. วัดใจ "วันนอร์"   บรรจุวาระหรือไม่ หลัง ภท.ไล่บี้หนัก “เสี่ยหนู” ยันรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียงเดินหน้าบริหารประเทศ-ทำประชามติแก้ รธน.ทันยุบสภาในสี่เดือน “เท้ง” แจงยิบ พรรคส้มเลือกน้ำเงิน ไม่เอาแดง-ชัยเกษม 

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในการชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ระหว่างฝั่งพรรคเพื่อไทยกับฝั่งพรรคภูมิใจไทย ตลอดทั้งวันที่ 3 กันยายน มีภาพรวมดังนี้

เริ่มจากช่วงเช้าที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค  แถลงว่า ผลการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาชน มติที่ประชุมคือ หากมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ความเห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พรรคประชาชนจะให้ความเห็นชอบแก่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย โดยพรรคภูมิใจไทยจะต้องยอมตกลงตามเงื่อนไขของพรรคประชาชน

สำหรับข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย กรณีการเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยตกลงร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

1.นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

2.ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

3.ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย จะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว

4.เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ  เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

5.พรรคประชาชนยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป  โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี

 “การตัดสินใจครั้งนี้ของพวกเรา ไม่ได้ตัดสินใจโดยใช้ข้อคิดเห็นในเรื่องของความนิยมผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง พวกเราตัดสินใจโดยเป้าหมายเพื่อจะนำพาประเทศไปสู่ทางออกตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา  เพื่อป้องกันอำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซง ปลดล็อกการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และคืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด” หัวหน้าพรรคประชาชนระบุระหว่างการแถลงข่าว

หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวว่า กรณีที่มีการทูลเกล้าฯ ให้ยุบสภา จะต้องถามพรรคเพื่อไทย หากทูลเกล้าฯ ไปแล้วจะเกิดสถานการณ์อย่างไรต่อ คงต้องไปถามประธานสภาฯ และต้องถามพรรคภูมิใจไทยว่า จะตอบรับตามเงื่อนไขของพรรคประชาชนหรือไม่ ตนและพรรคประชาชนยืนยันมาโดยตลอดว่า รักษาราชการแทนนายกฯ มีอำนาจในการยุบสภา แต่พรรคเพื่อไทยจะทำหรือไม่ จะต้องไปถามที่นายภูมิธรรม

ส่วนเหตุผลในการเลือกพรรคภูมิใจไทยนั้น  นายณัฐพงษ์ยืนยันว่า ไม่ได้ตัดสินใจว่าทางเลือกใดดีกว่ากัน แต่เราตัดสินใจบนทางออกของประเทศ และบนพื้นฐานว่าหลักประกันที่จะทำให้พวกเรามั่นใจในการกำกับรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นรัฐบาลที่มุ่งหน้าสู่การยุบสภาจัดทำประชามติเพื่อเปิดช่องให้มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากประเมินตามข้อเท็จจริง พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมืองที่ทำให้พวกเรามองเห็นตามหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ว่า จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ทำให้พรรคประชาชนใช้เสียงของ สส.ในสภาในส่วนที่มีเสียงข้างมากมากกว่า ในฐานะพรรคฝ่ายค้านกำกับทิศทางของรัฐบาลเพื่อมุ่งหน้าไปสู่จุดนั้น หน้าที่ของเราคือ จะพยายามกำกับให้พรรคภูมิใจไทยเดินหน้าไปสู่การยุบสภา และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะเดียวกันถ้อยคำลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏในเงื่อนไข ในทางปฏิบัติ หากมีการบิดพลิ้วนี่จะต้องเป็นต้นทุนที่เขาต้องแลกมาความเสี่ยงสูงสุดของพรรคประชาชนคือ การบิดพลิ้วไม่ดำเนินการตามข้อตกลง ซึ่งพรรคภูมิใจไทยจะต้องมีต้นทุนที่ต้องแบกรับในการตระบัดสัตย์

นายณัฐพงษ์ยืนยันว่า การตัดสินใจเช่นนี้ไม่เสียใจ ช่วงเวลา 5 วันที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริหารพรรคได้ใช้เวลาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ มีประสิทธิภาพมากที่สุด รับฟังเสียงทุกองคาพยพของพรรคอย่างรอบด้าน เราใช้กระบวนการในการทำความเข้าใจภายในพรรค โดยเฉพาะกับสมาชิกพรรคผู้เป็นเจ้าของพรรคตัวจริง ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เราไม่ได้จะไว้วางใจให้นายกฯ คนใดเข้าไปบริหารประเทศ เราจำเป็นที่จะต้องเลือกนายกฯ  เพื่อทำหน้าที่เดินหน้าสู่การยุบสภาและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นการตัดสินใจของรัฐประชาชนที่คำนึงถึงทางออกประเทศเป็นหลักมากกว่าคะแนนความนิยม และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับพรรคประชาชน

โดยหลังการแถลงข่าว นายณัฐพงษ์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง และได้จะส่งมอบให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย และคณะเป็นตัวแทนในการรับมอบ

อนุทินตั้งรัฐบาล 146 เสียง

ต่อมาเวลา 11.14 น. ที่ห้องประชุมชั้น 6 อาคารรัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรคการเมืองทุกพรรคที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ได้เปิดแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาล และลงนามรับ 5 เงื่อนไขของพรรคประชาชน โดยกล่าวว่า ตนและ สส.ทั้ง 146 คนที่อยู่ในที่นี้ พวกเราทุกคนต้องขอขอบคุณพรรคประชาชน คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชน-สส.พรรคประชาชน และพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรคประชาชนทุกท่าน ที่ได้มีมติของที่ประชุมผู้บริหารพรรคประชาชน ในการให้การสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ซึ่งพรรคภูมิใจไทย และ สส. 146 คน มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ ได้มอบรายชื่อ และให้คำมั่นกับพรรคประชาชน ว่าจะให้การสนับสนุนตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี และจะได้จัดตั้งรัฐบาลตามข้อเสนอของพรรคประชาชน หลังจากนี้จะเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร โดยประธานสภาฯ และ สส.จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 “ขอยืนยันว่าพวกเราทุกคนจะไม่ทำให้เจตนารมณ์ และความเสียสละของทุกท่านสูญเปล่า และจะรักษาข้อตกลงทั้ง 5 ข้อ ที่ได้ให้ไว้กับประชาชนตลอดระยะเวลา 4 เดือนนับตั้งแต่วันที่เราได้เข้าทำงานในฐานะรัฐบาล และจะดำรงสภาพการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะมีพี่น้องประชาชนร่วมเป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของพวกเรา ดังนั้น ในระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาล เราจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถ ให้สมกับความไว้วางใจที่ทุกท่านให้โอกาสกับพวกเรา” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าว

ส่วนเรื่องอื่นๆ ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เราทุกคนจะร่วมกันทำหนังสือที่แสดงถึงความพร้อมที่จะให้ทางประธานสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาบรรจุวาระการเลือกนายกรัฐมนตรีเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุด จากนั้นนายอนุทินได้ลงนามในเงื่อนไข 5 ข้อของทางพรรคประชาชน

เมื่อถามว่า มีการทูลเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า คิดว่าทุกอย่างมีขั้นตอน ยังถือว่ามีสภาอยู่ สภายังไม่ยุบ ยังไม่มีข้อมูลใดๆ ลงมาให้รับทราบว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ จะต้องมีการตีความอย่างใดหรือไม่ เป็นเรื่องของผู้ที่ยื่นไปว่าท่านจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามั่นใจว่ารัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจยุบสภาใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า คิดว่าเรื่องนี้พวกเราทำตามภารกิจ ตามหน้าที่ สส. ทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

ส่วนจะมีการยื่นตีความเรื่องการยุบสภาหรือไม่นั้น นายอนุทินกล่าวว่า เรารอดูก่อน เพราะเรายังไม่ได้รับทราบอะไรอย่างเป็นทางการ

เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาล 146 เสียง ไม่มีคนมาเติมแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ถูกต้อง เพราะมีเงื่อนไขอยู่ในข้อ 4 ที่ระบุว่า เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาภายใน 4 เดือน พรรคภูมิใจไทยจะต้องไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก 4 เดือนนี้จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ปัญหาความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งอยู่กับประเทศกัมพูชา ตลอดจนการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่ง 4 เดือนเพียงพอ

ทั้งนี้ ตัวเลข 4 เดือนไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ารวดเร็ว แต่เป็นตัวเลขที่ทางพรรคประชาชนและพรรคที่มารวมกันทั้ง 146 เสียง ได้หารือกันแล้วคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม เราได้รับการยืนยันจากพรรคประชาชนว่า กฎหมายใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ ต่อพี่น้องประชาชน พรรคประชาชนพร้อมที่จะสนับสนุนให้ร่างกฎหมายฉบับนั้นๆ ผ่าน เรายึดประโยชน์ของประชาชน และประเทศเป็นเป้าหมาย ตรงนี้พวกเราเห็นพ้องต้องกันทั้งหมด เงื่อนไขถูกลงนามแล้ว 4 เดือนนับจากวันที่รัฐบาลได้แถลงนโยบาย ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ตนให้ความมั่นใจ พูดแล้วทำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อ สส.ที่ลงลายมือชื่อ 146 คน สนับสนุนนายอนุทิน ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย 68 คน, พรรคกล้าธรรม 31 คน, พรรคพลังประชารัฐ 17 คน, พรรครวมไทยสร้างชาติ 16 คน, พรรคเพื่อไทย 8 คน, พรรคไทยสร้างไทย 3 คน และพรรคประชาธิปัตย์ 3 คน รวม 146 คน 

โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ สามชื่อประกอบด้วย นายสรรเพชญ บุญญามณี, นายสมยศ พลายด้วง สอง สส.สงขลา และนายราชิต สุดพุ่ม สส.นครศรีธรรมราช

ยื่นขอโหวตนายกฯ ศุกร์นี้

จากนั้นเวลา 11.49 น. นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นำกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย อาทิ นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง, นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี, นายธนยศ ทิมสุวรรณ สส.เลย, นายชลัฐ รัชกิจประการ สส.บัญชีรายชื่อ, นายสังคม แดงโชติ สส.ประจวบคีรีขันธ์, นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ สส.พิจิตร นำรายชื่อ 146 รายชื่อ ยื่นขอบรรจุวาระต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องขอให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

โดยหนังสือระบุว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 เป็นเหตุให้รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไปนั้น จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญข้างต้น ทำให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง เป็นเพียงคณะรัฐมนตรีรักษาการที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ โดยไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หนังสือดังกล่าวระบุอีกว่า แต่เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้ามาปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ด้านเศรษฐกิจ ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ปัญหาภัยพิบัติ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สภาผู้แทนราษฎรจะต้องพิจารณาตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ

 “ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และเพื่อแก้ปัญหาในด้านต่างๆ รวมถึงการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยด่วน” หนังสือดังกล่าวระบุตอนท้าย

โยนเผือกร้อนวันนอร์ตัดสิน 

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป) 2 ฝ่าย ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เพื่อหารือวันโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ว่า หลังจากการประชุมวิปสองฝ่ายในช่วงเช้าวันนี้ไม่ได้ข้อยุติ จึงมาประชุมในรอบบ่าย แต่เนื่องจากที่ประชุมวิป 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายที่คาดว่าจะไปรวบรวมเสียงข้างมากได้เสนอให้ประธานบรรจุระเบียบวาระในการโหวตเลือกนายกฯ และจะต้องมีมติภายในวันนี้ ดังนั้น หากมีข้อสรุปก่อนเวลา 16.30 น. วันนี้ทางนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สามารถบรรจุในระเบียบวาระได้อย่างเร็วที่สุดคือ วันที่ 5 ก.ย. ตามข้อบังคับ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเดิมชี้แจงว่า ขณะนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ได้เสนอพระราชกฤษฎีกาเพื่อยุบสภา ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการที่จะเสนอไปเพื่อให้มีพระบรมราชวินิจฉัย

 “เพื่อไม่ให้เป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ รวมถึงความเห็นทั้ง 2 ฝ่าย ผมจึงขอที่ประชุมว่า อำนาจการบรรจุระเบียบวาระเป็นอำนาจประธานสภาฯ กรรมการชุดผมเป็นกรรมการที่หาข้อสรุปให้ประธาน โดยประธานจะลงจากบัลลังก์ห้องประชุมสภาฯ เวลา 16.30 น. เพื่อความคลายกังวล ผมจะไปทำหน้าที่ต่อจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เพื่อให้ได้ข้อชัดเจนในวันนี้ว่าประธานวันนอร์จะมีความเห็นอย่างไร เชื่อว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ จะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย พวกผมเองไม่สามารถบรรจุระเบียบวาระได้ ทุกฝ่ายก็เห็นว่าการก้าวล่วงพระราชอำนาจเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนไทย จึงขอเวลาไม่นาน ผมยืนยันในที่ประชุมว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีนายกฯ บนพื้นฐานของความสง่างาม  ไม่ให้เกิดข้อครหานินทาภายหลัง ไม่ใช่เป็นการถ่วงเวลา เป็นกระบวนการตามกฎหมาย” นายฉลาดระบุ

เมื่อถามว่า การที่ให้รอแบบนี้ฝ่ายที่อยากให้บรรจุระเบียบวาระการโหวตนายกฯ ยอมรับได้หรือไม่ รองประธานสภาฯ จากพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ดูหลายคนแล้วฝั่งนั้นก็พยักหน้าอยู่ว่าต้องรอ เพราะเป็นพระราชอำนาจ ไม่มีใครก้าวล่วงได้ ส่วนจะใช้เวลากี่วัน ไม่มีใครกล้าพูด แต่โดยธรรมเนียมแล้วไม่นาน ส่วนที่ทางพรรคภูมิใจไทยยื่นเรื่องต่อประธานสภาฯ เพื่อขอให้บรรจุระเบียบวาระโหวตเลือกนายกฯ นั้น เป็นดุลยพินิจของประธานว่าจะดำเนินอย่างไร อย่างรอบด้าน รอบคอบ

ท่าทีดังกล่าวทำให้นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ขอตำหนิการทำหน้าที่นายฉลาด ซึ่งได้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งเคยปฏิญาณตนไว้ว่าจะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง แต่ในที่ประชุมวิป ไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางเลย ทำหน้าที่เข้าข้างพรรคการเมืองที่สังกัดอยู่ ในที่ประชุมฝ่ายตนเห็นว่า ในช่วงเช้าพรรคประชาชนได้แถลงการณ์อย่างชัดเจนว่าพรรคมีมติอย่างไร และในช่วงสายนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้เซ็น MOA กับพรรคประชาชนเรียบร้อย ต่อมาตนในฐานะ สส. จึงได้ยื่นหนังสือให้ประธานสภาฯ ตามกติกามารยาท ว่าได้รวบรวมเสียงเพียงพอแล้ว สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 ก.ย.นี้ได้

แต่ในที่ประชุมวิปทางพรรคเพื่อไทย ได้ยก 2 เหตุผล คือเรื่องวันประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และภายหลัง ราชกิจจานุเบกษาประกาศลงวันที่ 30 ส.ค. (โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตุลาการศาล รธน.) ดังนั้นข้อสงสัยว่าจะเกิดปัญหากับคำวินิจฉัยหรือไม่ จึงไม่สมควรที่จะเป็นข้อสงสัยอีกต่อไป แต่ทางพรรคเพื่อไทยได้รวบรวม 20 รายชื่อ สส. ประธานสภาฯ ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ และอ้างว่ายังอยู่ในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ยังไม่สามารถเลือกนายกฯ ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ได้

ส่วนอีกหนึ่งเหตุผล เรื่องการยุบสภา ซึ่งเห็นว่าการประกาศยุบสภาต่อสาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร ไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง ในประเพณีปฏิบัติที่ผ่านมา ไม่เคยมีการประกาศยุบสภาต่อหน้าสาธารณชน เพราะอำนาจยุบสภาเป็นอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ ตนและ น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ได้ทักท้วงในที่ประชุมว่า หนังสือที่เชิญมาประชุม คือให้พิจารณาการบรรจุวาระเลือกนายกฯ ในวันที่ 5 ก.ย.นี้หรือไม่ แต่ในที่ประชุมไม่มีการพูดถึง มีเพียง 2 เรื่องที่นำมากล่าวอ้าง ในขณะที่พวกตนได้แสดงเหตุผลว่า ในฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีหน้าที่ต้องรอคำวินิจฉัยของฝ่ายตุลาการ หรือฝ่ายบริหารจะมีความคิดเห็นว่าจะยุบสภาก็เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติก็ดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เมื่อนายกฯ พ้นจากตำแหน่ง ทางสภาจำเป็นต้องเลือกนายกฯ โดยด่วน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ควรดำเนินการตามข้อบังคับ

 “ผมก็เข้าตามตรอกออกตามประตู วันนี้ยื่นหนังสือ 24 ชม. หรือ 1 วันตามข้อบังคับ ประธานสภาฯ สามารถบรรจุระเบียบวาระเร่งด่วนเพื่อให้สภาได้มีการประชุมหารือกันได้ แต่ในที่ประชุมวิป ไม่มีข้อสรุป และได้นำข้อเสนอของทั้ง 2 ฝ่าย คือ พรรคภูมิใจไทยได้เสนอว่าให้เลือกนายกฯ วันที่ 5 ก.ย. และทางพรรคเพื่อไทยเสนอให้เลื่อนไปก่อน  โดยไปแจ้งต่อประธานสภาฯ ซึ่งอำนาจในการบรรจุระเบียบวาระเป็นอำนาจของประธานสภาฯ โดยแท้ ก็อยู่ที่ประธานสภาฯ ว่าจะให้ความสำคัญกับองค์กรนิติบัญญัติหรือไม่ จะเดินหน้าทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่” นายภราดรกล่าว

เมื่อถามว่า ประธานสภาฯ จะบรรจุทันภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ นายภราดรกล่าวว่า “ทันครับ ตามข้อบังคับ ประธานสภาฯ สามารถบรรจุเป็นวาระเร่งด่วนได้ และหวังว่าประธานจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติอย่างตรงไปตรงมา และเราในฝ่ายนิติบัญญัติต้องแยกอำนาจให้ชัด ซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ คือการเลือกนายกฯ คนใหม่โดยเร็ว ฉะนั้นต้องคาดหวังจากประธานสภาฯ ว่าจะเร่งบรรจุระเบียบวาระ”

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า นายวันมูหะมัดนอร์ได้รับรายละเอียดจากการหารือของวิปสภาฯ แล้ว และได้เรียกนายศิโรจน์ แพทย์พันธุ์ รองเลขาธิการสภาฯ ที่กำกับสำนักประชุม หารือช่วงเย็นที่ผ่านมา

 โดยนายศิโรจน์เปิดเผยว่า จากการหารือกับนายวันมูหะมัดนอร์ ไม่มีประเด็นข้อกังวลใดๆ ซึ่งยังรอการพิจารณาของประธานสภาฯ แต่จนถึงเวลา 20.00 น.นั้น ยังไม่มีข้อสั่งการใดๆ ออกมา ดังนั้นอาจต้องรอดูตลอดทั้งคืนนี้ จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 4 ก.ย.อีกครั้ง

ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ได้ทำเรื่องและเสนอต่อประธานสภาฯ ให้พิจารณาแล้ว เบื้องต้นไม่มีประเด็นปัญหาหรืออุปสรรคทางข้อกฎหมายใดต่อการพิจารณาบรรจุวาระเพิ่มเติม ตามที่ สส.พรรคภูมิใจไทยเสนอให้บรรจุวาระ ส่วนกรณีของคำร้องของ สส.พรรคเพื่อไทยที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณากระบวนการวินิจฉัยคดีถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกฯ นั้น มีปรากฏเป็นเอกสารที่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้ว การตัดสินใจว่าจะบรรจุวาระเพิ่มเติมเมื่อใดนั้น อยู่ที่ดุลยพินิจของประธานสภาฯ ซึ่งขณะนี้ทางสำนักประชุมสภาฯ ยังรอรับคำสั่งของประธานสภาฯ.

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลพรรคเดียวในทางทฤษฎี กับการเมืองจริงของพรรคส้ม

พรรคประชาชน หรือที่ถูกเรียกกันทั่วไปว่า “พรรคส้ม” ตั้งเป้าหมายทางการเมืองไม่ใช่แค่การชนะเลือกตั้ง แต่คือการได้เสียงเกินครึ่งสภา มากกว่า

'ยศชนัน' ลงจากหอคอยพบชาวนา ชูเทคโนโลยีแก้น้ำทั้งระบบ

“ยศชนัน-จุลพันธ์” นำเพื่อไทยยกทัพลุยอยุธยา รับฟังปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก-ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ชูแก้น้ำท่วมทั้งระบบ ระบายน้ำเป็นธรรม ใช้ข้อมูลจริง-เทคโนโลยี-วิศวกรรม วางแผนป้องกัน-เยียวยาครบวงจร

ยึดเนิน350ได้แล้ว! ร่าง2ทหารกล้ากลับมาตุภูมิ/ส่งสัญญาณเตือนชนชั้นนำเขมร

ข่าวดี! ทหารไทยควบคุมเนิน 350 ได้แล้ว อยู่ระหว่างการสถาปนาความมั่นคง นำร่าง 2 วีรบุรุษกลับมาตุภูมิ ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ ตรวจพบการปะทะเป็นระยะ

พท.ผวา ‘มันนีโพลิติกส์’

พรรคประชาชนเดินหน้าฝันแลนด์สไลด์ได้ สส. 250 ที่นั่ง จัดตั้งรัฐบาลประชาชน ดูจากตัวเลขผู้บริจาคให้พรรคมากกว่าแสนคน ขณะที่เพื่อไทยต้อนรับทีมสุวัจน์