อ้วนใบ้!ตีกลับยุบสภา แห่แจ้งจับผิด112-ม.157-ฝ่าจริยธรรมร้ายแรง

"ภูมิธรรม" ยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภาคืนอำนาจประชาชน อ้างประชาธิปไตยบิดเบี้ยว จะมี รบ.เสียงข้างน้อย มีพรรคสวมหมวก 2 ใบ ปัดไม่เกี่ยว "ปชน." ประกาศหนุน "อนุทิน" นายกฯ ยันตั้งแต่ 2 ก.ย.ก่อนรู้ผล "พท." ดาหน้าการันตีปฏิบัติหน้าที่นายกฯ มีอำนาจ สะพัด! สำนักองคมนตรีตีกลับหนังสือทูลเกล้าฯ ยุบสภา เหตุไม่ทำตามระเบียบ-กฤษฎีกาแย้งไร้อำนาจ "อ้วน" หนีสื่อปัดตอบข่าวลือ "อนุทิน" ชี้เรื่องสำคัญมากต้องรีบแจ้ง  ปชช. "บิ๊กอ้วน" งานเข้า เจอร้องผิด 112 และ 157

มีความเคลื่อนไหวจากพรรคเพื่อไทย (พท.)  ภายหลังจากเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2568 เวลา 08.45 น. พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ให้ความเห็นชอบสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย  ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามยื่นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศคืนอำนาจให้กับประชาชนแล้ว  ทั้งนี้ หากมีการลงพระปรมาภิไธยประกาศยุบสภา  คณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะต้องกำหนดวันเลือกตั้งในกรอบ 60 วัน ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในเดือน พ.ย.ปีนี้ ซึ่งการยื่นได้ทำก่อนที่พรรค ปชน.จะจับมือกับพรรค ภท. ดังนั้นผลการจับมือของสองพรรคไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชนของพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด

เวลา 10.34 น. นายภูมิธรรมแถลงว่า เมื่อสักครู่เพิ่งไปเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ไม่เกี่ยวกับเข้าวัง ไปวังสวนจิตรลดา ขณะนี้สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ระบบประชาธิปไตยมันก็บิดเบี้ยว ไม่เป็นไปตามครรลองที่ควรจะทำ การตัดสินใจของพรรค ภท.และพรรค ปชน.ที่ตัดสินใจและตกลงกันว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยได้ยินประกาศว่าทางพรรค ปชน.โหวตให้ แต่ไม่ร่วมเป็นรัฐบาล ซึ่งอันนี้เท่ากับอย่างไรก็แบ่งเป็น 3 กลุ่มอยู่ดี แบ่งเป็น 3 กลุ่มเหมือนเดิม พรรค ปชน.กับพรรค พท. ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรค ภท.ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรค ปชน.มี 2 หมวกในตัวเอง เป็นทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อน บรรยากาศทางการเมืองที่เป็นอยู่มีการดึงซื้อ สส. และมีการดึง สส.ต่างๆ ซึ่งสับสนอลหม่านในสถานการณ์ที่เราดูอยู่ ขณะนี้กับเศรษฐกิจต่างๆ ที่มีปัญหา เราเห็นว่าสิ่งที่สำคัญวันนี้ ถ้าไม่สามารถดึงความเชื่อมั่นกลับเข้ามาสู่ประเทศได้ ยิ่งทำให้ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งถูกกระทบและรุมเร้า

 “ปัญหาทั้งหมดแบบนี้ อย่างที่ได้พูดคุยกัน ฝ่ายกฎหมายก็คิดว่าควรจะคืนอำนาจให้ประชาชนไปตัดสินใจ แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่จะมีสิทธิ์ไปตัดสินใจได้ เพราะอยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัยในสถานการณ์ต่างๆ ผมเองในฐานะปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ได้พิจารณาและได้รวบรวมความคิดเห็นต่างๆ นี้อย่างชัดเจนแล้ว ก็คิดว่าควรจะต้องมีการกราบบังคมทูลถวายรายงานสถานการณ์ต่างๆ ให้พระองค์ทราบ และคิดว่ามันจะได้แก้ไขปัญหานี้ ผมจึงตัดสินใจที่จะยื่นทูลเกล้าฯ ไปตั้งแต่เมื่อวาน (2 ก.ย.) แล้ว ก็ต้องรอ เป็นกระบวนการตามประชาธิปไตย ตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ ก็ต้องรอ ถ้าเป็นอย่างนี้พรรค ปชน.กับพรรค ภท.ก็ต้องไปพิจารณา” นายภูมิธรรมกล่าว

ทูลเกล้าฯ ยุบสภา

ถามว่า ไม่กังวลข้อกฎหมายใดๆ เลยใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า “ไม่ใช่ครับ ผมยื่นไปตามกระบวนการทางรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย ก็อยู่ที่ดุลยพินิจ” เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าการยุบสภาคือทางออกของสถานการณ์การเมืองตอนนี้เลยใช่หรือไม่ แต่นายภูมิธรรมไม่ตอบคำถาม

 ซักว่า ในระหว่างทูลเกล้าฯ ยุบสภาไปแล้ว จะสามารถเสนอเปิดสภาเพื่อเลือกนายกฯ ได้เลยหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า อยู่ที่เขาจะพิจารณากันเอง แต่ตนได้ยื่นทูลเกล้าฯ ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว

นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค พท. กล่าวว่า รับทราบมาเมื่อเช้า (3 ก.ย.) นายภูมิธรรมได้ดำเนินการเรื่องการทูลเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว ซึ่งเหตุผลในการทูลเกล้าฯ ยื่นยุบสภามีหลายสาเหตุมาก ขณะนี้เดินต่อไม่ได้แล้ว พรรค ปชน.ประกาศสนับสนุนให้แคนดิเดตพรรค ภท.เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับกันพรรค ปชน.จะไม่ร่วมรัฐบาล ฉะนั้นรัฐบาลจะมีเสียงเพียง 130 กว่าเสียง จึงถามว่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ไหน จริงๆ เดินต่อได้ยาก ในฐานะ สส.คนหนึ่ง ดูแล้วไม่น่าไปต่อได้

ถามว่า กังวลหรือไม่ในการขอยุบสภา เพราะมีหลายฝ่ายท้วงติงไม่สามารถทำได้ เลขาฯ พรรค พท.กล่าวว่า เรามีความมั่นใจ ส่วนฝ่ายกฎหมายของพรรค พท.มีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนี้ และนายภูมิธรรมได้ดำเนินการไปแล้ว

ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงการยุบสภาว่า เท่าที่มีการพูดคุยกันเมื่อคืนวันที่ 2 ก.ย.กับแกนนำพรรค พท.และนายภูมิธรรม และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย คิดว่าถ้าเราวิเคราะห์ดีๆ ก็ได้ข้อสรุปว่าเมื่อจะมีการเลือกนายกฯ แต่ในการเลือกนายกฯ นั้นเป็นการเลือกไปเพื่อยุบสภา พูดง่ายๆ คือเลือกนายกฯ ได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แล้ว ก็แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เสร็จแล้วภายใน 4 เดือนจะมีการยุบสภา ซึ่งการยุบสภาต้องไปกำหนดวันเลือกตั้ง 45-60 วัน แปลว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามานั้นไม่ใช่รัฐบาลที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศแบบจริงจัง แต่มาเป็นคล้ายๆ กับการมาเพื่อยุบสภาเพื่อรอการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่น่าคิดว่าในท้ายที่สุดที่เราเลือกกันไปนั้น ไม่ใช่การเลือกผู้นำประเทศมาบริหารประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีวิกฤตเช่นนี้

นายชูศักดิ์กล่าวว่า ปัญหาตอนนี้มีอยู่ 2 ประการ 1.รัฐบาลรักษาการจะมีอำนาจในการเสนอพระราชกฤษฎีกาหรือไม่ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาบอกไม่มีอำนาจ แต่ว่าหลายความเห็นก็คิดว่ามีอำนาจ ซึ่งข้อสังเกตของตนเห็นว่าในขณะที่เราคิดว่ามีอำนาจในตอนนั้น สถานการณ์มันไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนั้นถ้าถามว่าใครเป็นนายกฯ คำตอบคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ เพียงแต่ว่าทำหน้าที่ไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ใครเป็นนายกฯ คำตอบคือไม่ใช่ น.ส.แพทองธาร แต่คำตอบคือคนที่เป็นนายกฯ ขณะนี้คือนายภูมิธรรมที่ทำหน้าที่แทนนายกฯ เพราะฉะนั้น อำนาจของนายกฯ เป็นอำนาจที่อยู่กับนายภูมิธรรมเต็มที่ นี่คือข้อสังเกตในเรื่องของอำนาจ

2.ที่สื่อไปวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เป็นพระราชอำนาจจะไปก้าวล่วงอะไรหรือไม่ คำตอบคือจริงๆ เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ แต่ว่ากฎหมายบอกว่า การยุบสภาให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา คำถามคือใครจะเป็นคนนำเสนอ อยู่ดีๆ พระราชกฤษฎีกาจะลอยขึ้นไปไม่ได้ ต้องมีคนนำเสนอ และคนนั้นต้องรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งคนที่นำเสนอคือคนที่เป็นนายกฯ นำเสนอไป และมีเหตุผลอะไรที่ควรยุบสภา ซึ่งจากนั้นก็แล้วแต่สุด แต่เป็นพระบรมราชวินิจฉัย ซึ่งเราก้าวล่วงไม่ได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เราคิดว่ามันน่าจะไปได้

 ถามว่า หากมีคนนำเรื่องดังกล่าวไปร้องศาล นายชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร ศาลก็ต้องวินิจฉัย แต่ข้อสังเกตของตนถามว่า ขณะนี้ใครเป็นนายกฯ มันไม่เหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ วันนี้นายกฯ คือนายภูมิธรรม มีอำนาจเต็มที่ ไม่ได้ก้าวล่วงอะไร เพราะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ต้องมีการนำเสนอในพระราชกฤษฎีกา ว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องยุบสภา สุดแต่พระบรมราชวินิจฉัยว่าจะเห็นสมควรประการใด

สะพัดตีกลับ! อ้วนหนีสื่อ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็น (3 ก.ย.) ได้มีกระแสข่าวหลังนายภูมิธรรมได้กราบบังคมทูลถวายร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ว่า สำนักองคมนตรี ในฐานะหน่วยงานกลั่นกรองหนังสือและถวายความเห็นประกอบกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และทรงลงพระปรมาภิไธย ได้ส่งคืนร่างพระราชกฤษฎีกากลับมาให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 

โดยหนังสือนำส่งกลับคืนมาดังกล่าวระบุว่า  การกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอเพื่อขอพระมหากรุณา เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทำความเห็นประกอบว่ารัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้ จึงไม่สามารถกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยได้

"เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำรายงานให้นายภูมิธรรม ในฐานะผู้กราบบังคมทูลทราบแล้ว โดยนำเสนอหนังสือของสำนักองคมนตรีไปให้ทราบด้วย" แหล่งข่าวจากทำเนียบฯ ระบุ

ต่อมาเวลา 17.20 น. ผู้สื่อข่าวรอสัมภาษณ์นายภูมิธรรมถึงกระแสข่าวลือดังกล่าว ปรากฏเมื่อนายภูมิธรรมได้เดินทางออกทำเนียบรัฐบาล ทันทีที่เห็นสื่อมวลชนรอสัมภาษณ์ นายภูมิธรรมชิงพูดก่อนว่าไม่ให้สัมภาษณ์ และเดินเลี่ยงวงผู้สื่อข่าวเพื่อขึ้นรถ

ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงความชัดเจนเกี่ยวกับกรณีกระแสข่าวดังกล่าวอีกครั้ง แต่นายภูมิธรรมไม่ตอบคำถามใดๆ และขึ้นรถออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที

นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปฏิเสธตอบกระแสข่าวตีกลับหนังสือทูลเกล้าฯ ยุบสภา ระบุเพียงสั้นๆ ว่า ตนไม่ยังสามารถตอบได้ หากมีหนังสือมาจริงเป็นอำนาจของนายภูมิธรรม ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ จะพิจารณารายละเอียดและตัดสินใจอย่างไร

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. กล่าวถึงกระแสข่าวหนังสือทูลเกล้าฯ ขอยุบสภาถูกตีกลับมาว่า เป็นเพียงแค่ข่าว แต่เราก็ต้องรอรัฐบาลเป็นผู้แจ้งว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

"เรื่องของพระราชอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการโปรดเกล้าฯ ลงมาหรือไม่โปรดเกล้าฯ ลงมา รัฐบาลต้องแจ้งให้กับประชาชนรับทราบโดยเร็ว เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเป็นเรื่องที่ต้องระวัง" นายอนุทินกล่าว

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวเช่นกันว่า นายภูมิธรรมและรัฐบาลต้องเร่งออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่เหมาะสม หากสุ่มเสี่ยงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ซึ่งหากขัดต่อรัฐธรรมนูญจริง นายภูมิธรรมและรัฐบาลต้องรับผิดชอบ

วันเดียวกัน ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายสุรทิน พิจารณ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) เข้าแจ้งความเอาผิดนายภูมิธรรม ในความผิดตามมาตรา 112 เนื่องจากการที่นายภูมิธรรมพยายามยื่นทูลเกล้าฯ ถวาย พ.ร.ฎ.ยุบสภา ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร เพราะไม่มีอำนาจหน้าที่ อีกทั้งยังส่อเจตนาดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ควร

ส่วนนายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค ภท. เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ร้องทุกข์กล่าวโทษนายภูมิธรรม ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นว่านายภูมิธรรมอาศัยความเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ กระทำการโดยไม่สุจริตทั้งๆ ที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า รักษาการนายกฯ ไม่สามารถเสนอพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้ ซึ่งต้องกระทำการด้วยความรอบคอบ และจะเป็นการทำให้ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท

ส่วนนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เข้ายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนสอบสวนนายภูมิธรรม ที่ยื่น พ.ร.ฎ.ยุบสภา ทั้งๆ ที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'