เปิดฉากGBC ยกรัฐบาลใหม่ ชายแดนดีขึ้น

ครม.นัดส่งท้าย ถกลับวาระชายแดนไทย-กัมพูชา รับทราบกรอบเจรจาจีบีซี  "อนุทิน" ให้อำนาจเต็ม “บิ๊กเล็ก” ว่าที่ รมว.กห.   ก่อนบินประชุม GBC เจ้าตัวประเมินสถานการณ์ดีขึ้นหลัง “ฮุน มาเนต” ทำหนังสือแสดงความยินดีนายกฯ ใหม่ มั่นใจแก้ปัญหาชายแดนเร็วที่สุด ปิดประตูแนวคิดทักษิณ 50:50 แบ่งเค้กทางทะเล "ว่าที่ รมว.พลังงาน" ลั่นจะไม่มีการเจราจนกว่าปมเขตแดน-ดินแดนจะยุติ รับลูกนายกฯ ไม่ยอมเสียพื้นที่แม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 9 กันยายน มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดสุดท้ายของรัฐบาลเพื่อไทย โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน  ช่วงหนึ่งของการประชุม ครม. ได้มีการประชุมวาระลับ โดยให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากที่ประชุม  ซึ่งมีการรายงานกรอบการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี)

ทั้งนี้ มีการคาดกันว่าที่ประชุมอาจมีการหยิบยกประเด็นเรื่องการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นมารายงานด้วย หลังจากมีกลุ่มนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่นเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชารีบเปิดด่าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านชายแดน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่ได้มีมติใดๆ ในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่อาจจะยังไม่เหมาะสม และคาดว่าเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน จึงน่าจะให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาพิจารณาเรื่องดังกล่าวต่อไป

ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงกรณีเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่จะทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาดีขึ้นหรือไม่ว่า คิดว่าดีขึ้น เห็นจากการแสดงความยินดีของฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งหากดูจากข้อความ ก็สามารถประเมินได้ว่าน่าจะดีขึ้น  การแสดงออกทางสาธารณะเขาแสดงความจริงใจ เพียงแต่มีปัญหาหน้าแนว การเจรจาก็ทำไป แต่การป้องกันอธิปไตยก็เป็นหน้าที่ของกองทัพ ตนมีหน้าที่สองบทบาท ทั้งผู้เจรจากับฝ่ายนโยบาย

ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เวลา 13.59  น. พล.อ.ณัฐพลเดินทางเข้าพรรค ภท. ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อพบกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี หารือถึงกรอบแนวทางการทำงาน โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากนั้น นายอนุทินได้พา พล.อ.ณัฐพลมาโชว์ตัว และให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวอย่างเป็นทางถึงการรับตำแหน่ง รมว.กลาโหม

โดยนายอนุทินกล่าวว่า พล.อ.ณัฐพลได้ถามกับตนประเด็นที่สำคัญคือ ท่านจะมีอำนาจขอบเขตในการปฏิบัติภารกิจแค่ไหน ตนยืนยันว่ามีอำนาจเต็ม ตนไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการทหาร แต่ท่านเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก เป็นเสนาธิการทหารบก เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และตนทำงานกับท่านอย่างใกล้ชิดในช่วงที่เราจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านโควิด ถือว่าการกำกับดูแลกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของตน มีความจำเป็นต้องได้ พล.อ.ณัฐพล มาดูแลงานด้านนี้

เมื่อถามว่า นอกจากเรื่องอำนาจเต็ม ยังมีเรื่องอะไรที่จะขอเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ตนขอให้ชีวิตของประชาชนทั้ง 2 ประเทศมีความเป็นปกติสุข มีสันติภาพ มีภราดรภาพ มีวิถีชีวิตที่สามารถทำมาค้าขายซึ่งกันและกัน ไม่ทำให้รายได้ขาดหาย เนื่องจากความไม่เข้าใจหรือปัญหาที่พวกเขาไม่ได้ก่อ

ส่วนที่มีข้อเรียกร้องในการยกเลิก MOU 43-44 นายอนุทินกล่าวว่า เราเสนอไปแล้วว่าจะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาในสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ส่วนการบริหารสถานการณ์ความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศวันที่ 10 ก.ย.นี้ พล.อ.ณัฐพลจะไปประชุม GBC ที่ประเทศกัมพูชา คู่เจรจาของไทยคือกัมพูชา จะต้องเจรจากับ พล.อ.ณัฐพล เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชารู้ว่าผู้ที่ไปเจรจาคือ รมว.กลาโหม ในรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้น

ถามว่า เมื่อมี ครม.แล้วจะยกหูหานายฮุน มาเนต ด้วยตัวเองหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า จะดำเนินการทุกช่องทาง ทางการทหารก็จะไม่มีลดราวาศอก เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ ส่วนเรื่องการทูตการเจรจาเพื่อหาข้อยุติให้ได้ เราก็ใช้กระทรวงการต่างประเทศ ทหารก็ทำหน้าที่ไป

ด้าน พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า หลังจากได้มีการพูดคุยก็มีความมั่นใจ หลังได้ทราบนโยบายที่ชัดเจน โดยหลักๆ เน้นย้ำเรื่องของอธิปไตย และการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และประชาชนปลอดภัย ก่อนที่ตนจะได้เสนอโรดแมปที่ได้ดำเนินการอยู่ ซึ่งนายกฯ ก็เห็นด้วย ส่วนจะสามารถพลิกสถานการณ์ให้ได้ภายในสี่เดือนหรือไม่ ก็ต้องทำให้เต็มขีดความสามารถ แต่ไม่สามารถจะรับปากได้ว่าเมื่อไหร่ แต่เมื่อรับทราบนโยบายในวันนี้แล้ว ก็รับปากว่าจะทำให้เร็วที่สุด

ส่วนนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ  ปตท. ที่มีชื่อเป็น รมว.พลังงาน ในรัฐบาลนายอนุทิน กล่าวถึงปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลว่า วันนี้ทุกคนทราบดีว่าข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชายังตกลงกันไม่ได้ ยังมีประเด็นเรื่องการแบ่งดินแดน ดังนั้นเรื่องการบริหารจัดการพลังงานไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่างที่นายอนุทิน นายกฯ ได้กล่าวไว้ว่า เราจะไม่ยอมเสียดินแดนประเทศไทยแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว เพราะฉะนั้นในปัจจุบันจะเป็นเรื่องการดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายการต่างประเทศที่จะดำเนินการ ให้ได้ข้อยุติเสียก่อน จึงจะบริหารจัดการพลังงานได้

"ปัจจุบันสถานการณ์เรื่องการแบ่งเขตแดน ดินแดนของไทยและกัมพูชายังไม่จบ ดังนั้นเรื่องการบริหารจัดการพลังงานจะไม่มีการเจรจาพูดคุยหรือดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องความมั่นคงของชาติ อธิปไตยของชาติ และดินแดนของชาติ  เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด" นายอรรถพลกล่าว

เมื่อถามว่า ถือเป็นการปิดประตูแนวคิดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เคยระบุจะแบ่งกัน 50:50 หรือไม่ นายอรรถพลกล่าวว่า "ปัจจุบันจะไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าเรื่องเขตแดน ดินแดนจะมีข้อยุติ"

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาได้กล่าวอ้างผ่านสื่อต่างประเทศว่าฝ่ายไทยใช้อาวุธยิงสนับสนุนในการปฏิบัติการทางทหาร จนส่งผลให้ปราสาทพระวิหารได้รับความเสียหายในช่วงการสู้รบที่ผ่านมานั้นว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารไม่ได้อยู่ในแนวทิศทางการใช้อาวุธของฝ่ายไทย จึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะได้รับผลกระทบตามที่กัมพูชาได้กล่าวอ้าง

ที่โดมอเนกประสงค์โรงเรียนสูงเนิน โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นประธานในกิจกรรมโครงการ "ปลูกจิตสำนึกรักความเป็นไทย" เพื่อสร้างจิตสำนึกให้นักเรียนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติไทย ความเสียสละของชนชาติไทย และเห็นคุณค่าพื้นแผ่นดินไทย" พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ มีครู อาจารย์ ผู้ปกครอง ชาวบ้าน พ่อค้าแม่ค้า และนักเรียน รวม 2,000 คน ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

โดย พล.ท.บุญสินกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า อยากเห็นความสงบศึกตามแนวชายแดน เราก็ไม่ได้อยากเป็นเผด็จการหรืออยากสู้รบอะไร แต่เราก็ต้องท่าทีของประเทศเพื่อนบ้านด้วยว่าไปอย่างไรต่อ เราก็ได้ทุกรูปแบบ

วันเดียวกันนี้ จากกรณีนายพร โสภา และนายเพียบ เพียรา ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าว TSP 68 Online ประเทศกัมพูชา ถูกจับกุมเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และถูกตั้งข้อหา “การมอบข้อมูลอันเป็นผลเสียต่อการป้องกันประเทศให้แก่รัฐต่างชาติ” เข้าข่ายความผิดฐานกบฏต่อชาติ มีโทษจำคุกระหว่าง 7-15 ปี สืบเนื่องจากการโพสต์ภาพถ่ายร่วมกับทหารกัมพูชาหลายนาย บริเวณหน้าปราสาทตาควาย ภายหลังการหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 (ถ่ายภาพเมื่อ 30 ก.ค.68) ซึ่งในภาพปรากฏทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ที่ยังไม่ได้ใช้งาน ต่อมาได้ถูกเผยแพร่โดยสื่อมวลชนของไทยอย่างกว้างขวาง

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า  ภาพดังกล่าวสะท้อนข้อเท็จจริงชัดเจนถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในการสู้รบของฝ่ายกัมพูชา และแม้จะถูกเผยแพร่โดยผู้สื่อข่าวกัมพูชาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้ การที่ทางการกัมพูชากลับดำเนินคดีผู้สื่อข่าวทั้งสองในข้อหามอบข้อมูลอันเป็นผลเสียต่อการป้องกันประเทศแก่รัฐต่างชาติ  ยิ่งสะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชาใช้วิธีการจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน เพื่อปกปิดและบิดเบือนหลักฐานสำคัญต่อสังคม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.