จับนช.ทักษิณคืนคุก ศาลชี้ชั้น14ไม่ป่วยวิกฤต ‘อิ๊งค์’รับปากพ่อฟื้น‘พท.’

ไม่รอด! ศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์สั่ง  "ทักษิณ" กลับรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ชี้การบังคับโทษชั้น 14 รพ.ตำรวจไม่ถูกต้องตาม กม. ส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที ก่อน "ราชทัณฑ์"  ย้ายตัวมาเรือนจำกลางคลองเปรมคุกความมั่นคงสูง "แม้ว" สวมชุดนักโทษสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีดำ ยกนิ้วโป้งโชว์สื่อ ไม่ตอบทุกคำถาม ทีมงานโพสต์ "ทักษิณ" น้อมรับคำพิพากษาด้วยใจเข้มแข็ง "อิ๊งค์" สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ลดโทษให้พ่อ 1 ปี เผยเป็นประวัติศาสตร์นายกฯ คนแรกที่ถูกจำคุก “นายกฯ อนุทิน” ลั่นไม่มีคำว่า VIP 

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนราชดำเนินใน วันที่ 9 ก.ย.2568 เวลา 10.00  น. ศาลนัดฟังคำสั่งบังคับโทษถึงที่สุดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีที่เจ้าตัวรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ภายหลังจากที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์  ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการบังคับโทษของเจ้าตัวว่าเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ หรือไม่

ทั้งนี้ เวลา 09.25 น. นายทักษิณพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ น.ส.พินทองทา  ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาว รวมทั้งบุตรเขยทั้ง 2 คน และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ   เดินทางมาฟังการอ่านคำสั่งบังคับโทษคดีชั้น 14  ซึ่งเมื่อนายทักษิณลงจากรถได้ยกมือทักทายสื่อมวลชนและมวลชนคนเสื้อแดงด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม

เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำวินิจฉัยว่า  คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลยหรือไม่    เห็นว่า การไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2562 ข้อ 61 วรรคสอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 และวันที่ 15 ก.พ.2567 หรือไม่ เห็นว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องทั้งสองฉบับ

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า  มีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ในวันที่ 22 ส.ค.2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัว และสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ รวม 10  โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง 3 โรคที่แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจ  เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ จึงมีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์  วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา

แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 เวลา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง 200 เมตร การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ

ศาลสั่งทักษิณกลับเข้าคุก

นอกจากนี้ การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉินเนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ

เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 14 และที่ 15 พบว่าในวันที่ 23 ส.ค.2566 ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที นพ.พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 23 ส.ค.2566 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ

เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

สำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.2566 จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2567 นั้น แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ 15 ก.ย.2566 วันที่ 18 ต.ค.2566 และวันที่ 21 ธ.ค.2566 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์  ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง

นอกจากนั้นยังได้ความว่า จำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 ส.ค.2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้  จำเลยจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ

ย้าย 'แม้ว' ไปคลองเปรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำสั่งศาลฎีกานักการเมืองในคดีบังคับโทษชั้น 14 ไม่ได้มีการเขียนมติขององค์คณะไว้ในคำสั่ง ซึ่งกรณีถ้ามติเป็นเอกฉันท์จะไม่มีการระบุมติไว้ในคำสั่ง ยกเว้นเเต่กรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันจึงจะเขียนมติเอาไว้ เท่ากับคำสั่งศาลฎีกาในวันนี้ที่ไม่ลงรายละเอียดมติองค์คณะเอาไว้มติจึงเป็นเอกฉันท์

 สำหรับรายชื่อองค์คณะศาลฎีกาทั้ง 5 คน ประกอบด้วย 1.นายฉัตรชัย ไทรโชต 2.นายอดุลย์ อุดมผล 3.นายไตรรัตน์ แก้วศรีนวล 4.นางสุพิชญ์ กรอบคำ และ 5.นายพัฒนไชย ยอดพยุง

ต่อมาทีมงานของนายทักษิณได้ใช้แอปพลิเคชันเอ็กซ์ (X) และเฟซบุ๊กของนายทักษิณ โพสต์ข้อความระบุว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ตนคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ต่อทั้งตัวตน และครอบครัว ตนขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้

ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2544-2549 ตนพยายามผลักดันทุกนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย ให้พรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย สร้างประชาธิปไตยที่กินได้จากผลงานของรัฐบาลที่ทำได้จริง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในฐานะนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน แม้ว่าทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของตนเมื่อปี 2549 แต่วันนี้ตนขอมองไปข้างหน้าให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตน

ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนตลอดมา ขอบคุณนักการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และเพื่อนมิตรทั้งหลายที่เคียงข้างกันทั้งในยามสุขและยามยาก ตนตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ด้วยอุดมการณ์และจิตวิญญาณที่เรามีร่วมกันมา จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง"

"จากวันนี้แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้  ขอบคุณครับ" ท้ายข้อความของนายทักษิณระบุ

ต่อมาเวลา 11.50 น. เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์นำนายทักษิณขึ้นรถตู้สีขาวของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ทะเบียน 1 นง 7412 กรุงเทพมหานคร เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

กระทั่งเวลา 17.10 น. ได้มีขบวนรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร สีขาว จำนวน 3 คัน คันแรก ทะเบียน 1 นฉ 1576 กรุงเทพมหานคร, คันที่สอง ทะเบียน 1 นง 7412 กรุงเทพมหานคร และคันที่สาม ทะเบียน 1 นฉ 1977 ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม

ผู้สื่อข่าวพบว่ารถตู้คันที่สอง ทะเบียน 1 นง 7412 มีการเปิดกระจก และเห็นนายทักษิณนั่งติดข้างกระจก สวมเสื้อสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีดำ ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสีเสื้อสำหรับผู้ต้องขังเด็ดขาดที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว

ผู้สื่อข่าวพยายามตะโกนสอบถามนายทักษิณว่า “มีอะไรอยากจะพูดกับสังคมหรือไม่” ปรากฏว่านายทักษิณไม่ได้ตอบคำถาม หันมามองที่ผู้สื่อข่าวและมีรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า  และเมื่อถามต่อว่ามีอะไรอยากจะบอกกับคนไทยหรือไม่ รวมทั้งถามว่าตอนนี้มีกำลังใจดีหรือไม่ ปรากฏว่านายทักษิณไม่ได้ตอบคำถามเช่นเดียวกัน แต่มีการยกนิ้วโป้งข้างขวาขึ้นให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพ พร้อมอมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นขบวนรถได้รีบเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม โดยมีรถตู้ยี่ห้อ Mercedes-Benz สีเทา ทะเบียน 7 กอ 559 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถของครอบครัวตระกูลชินวัตรได้ขับติดตามไปห่างๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การย้ายตัวนายทักษิณครั้งนี้ไม่ได้เลี้ยวเข้าทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อย่างที่สื่อมวลชนเข้าใจนั้น เนื่องมาจากว่าเรือนจำกลางคลองเปรมถือเป็นเรือนจำความมั่นคงสูงสุด 1 ใน 5 แห่งของประเทศไทย

อิ๊งค์บอกนายกฯ คนแรกจำคุก

ด้าน น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ลดโทษพ่อเหลือ 1 ปี พวกเราทั้งครอบครัวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจ ห่วงใยพ่อและครอบครัวของเรา ซึ่งนายทักษิณยังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในเรื่องการเมืองที่ผ่านมา

"วันนี้ประวัติศาสตร์นายกฯ คนแรกที่ต้องจำคุก ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างหนักนิดหนึ่ง กำลังใจดีทั้งพ่อและครอบครัว" น.ส.แพทองธารกล่าว

ทั้งนี้ น.ส.แพทองธารเดินทางมาร่วมประชุม สส.พรรคเพื่อไทยประจำสัปดาห์ โดยตัวแทน สส.ในที่ประชุมกล่าวให้กำลังใจ น.ส.แพทองธาร ซึ่ง น.ส.แพทองธารขอบคุณกำลังใจ พร้อมบอกด้วยว่าก่อนเข้าเรือนจำนายทักษิณมีกำลังใจดี และพอจะคาดเดาผลได้อยู่แล้ว พร้อมรับผลการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ข้อครหาที่เกิดขึ้นจะได้หมด และพรรคเดินหน้าต่อไป น.ส.แพทองธารยังบอกอีกว่า นายทักษิณได้ให้กำลังใจตนเอง และบอกให้กลับมานำทัพทำให้พรรคเพื่อไทยให้เข้มแข็ง     

ผู้สื่อข่าวถามถึงการย้ายนายทักษิณไปเรือนจำกลางคลองเปรม น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ยังไม่ทราบ ขอไปเช็กก่อน

ด้านนายสมชาย แสวงการ  อดีต สว. กล่าวว่า คำพิพากษาบังคับคดีวันนี้มีอีกหลายเรื่องที่จะต้องเดินต่อ หมายความว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีหน้าที่และตั้งสอบไว้แล้ว 12 ราย ต้องขยายผลจากคำพิพากษาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการกระทำผิดของบุคคลต่างๆ ในกรมราชทัณฑ์ ในเรือนจำ ในกระทรวงยุติธรรมจำนวนมาก รวมถึงตัวจำเลยที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนี้ด้วย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าการคุมขังนายทักษิณเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการแทรกแซง จะไม่มีการทำอะไรที่อยู่นอกกฎระเบียบ ขอให้มั่นใจ เมื่อถามว่ากรณีนายทักษิณ ถ้ามีการเรื่องส่งมาจะทำตามขั้นตอนโดยไม่มีสิทธิพิเศษใช่หรือไม่ นายอนุทินระบุว่า มันไม่มีคำว่า VIP อยู่แล้ว เพราะมีกฎหมายกฎระเบียบมีขั้นตอนกำหนดไว้อยู่แล้ว ก็ทำตามนั้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ