ชงส.ส.ร.จากทุกภาคส่วน เตือนรื้อหลักรธน.เจอม็อบ

"ชูศักดิ์" ถกทีมกฎหมาย พท.จัดทำร่างแก้ไข รธน. ชงตั้ง กมธ.ดึงตัวแทนทุกภาคส่วนร่วม ส.ส.ร. ชี้ MOA ผูกมัดร่างต้องผ่านวาระ 3 ก่อนยุบสภาภายใน 4 เดือน รับเป็นเรื่องยากและปวดหัว ต้องทุ่มเททั้งวันทั้งคืน "สว." จี้รัฐบาลจริงใจแก้ รธน. แนะรณรงค์ ปชช.ก่อนทำประชามติ "หมอวรงค์" กระตุก "อนุทิน-ปชน.-พท." เข้าใจ 5 วัตถุประสงค์สำคัญ รธน.60 เตือนยังดื้อแก้ทั้งฉบับเจอม็อบแน่นอน

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) วันที่ 15 กันยายน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคและประธานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย หารือฝ่ายกฎหมายของพรรค พท.เพื่อเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยก่อนการหารือนายชูศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และตามหมวด 15 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ที่จะต้องมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการกำหนดวิธีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะทำอย่างไร ก่อนจะนำเสนอสู่รัฐสภาให้พิจารณาครบทั้ง 3 วาระ ซึ่งวาระที่ 1 และวาระที่ 3 จะต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เห็นชอบด้วย 1 ใน 3 และต้องได้เสียงจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านร้อยละ 20 เห็นชอบด้วย ซึ่งหากไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จบกระดาน ม้วนเสื่อกลับบ้าน

นายชูศักดิ์กล่าวว่า ศาลชี้ว่าห้ามเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยตรง ซึ่งแถลงการณ์ของ พท.ก่อนหน้านี้มีแนวทางในการเลือก ส.ส.ร.โดยอ้อม เช่นแนวคิดที่ว่าให้รัฐสภาเลือก ส.ส.ร. หรือให้รัฐสภาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พท.เห็นว่าหากเป็นเรื่อง ส.ส.ร. เป็นลักษณะทางการจะต้องเป็นคณะใหญ่ อาจมีจำนวน 100-200 คน ซึ่งต้องมีรองประธานสภาฯ หรือประธานสภาฯ โดยที่ประธานรัฐสภาต้องมีการทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง อาจจะดูอุ้ยอ้าย ซึ่งเห็นว่ารัฐสภาอาจตั้ง กมธ.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 47 หรือ 50 คน ก็แล้วแต่จะตกลง ขณะเดียวกันเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ควรมีตัวแทนจากหลายภาคส่วน อาทิ คณบดีคณะนิติศาสตร์, คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ทั้งจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนตามจำนวนที่ตกลง, ตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ศาล, องค์กรอิสระ, สภาทนายความ และตัวแทนจากวิชาชีพทั้งหลาย รวมถึงองค์กรเอกชนตามสัดส่วน และรัฐสภาอาจจะแต่งตั้ง กมธ.จากตัวแทนสภาของตน เช่นตามสัดส่วนพรรคการเมืองในสภาและวุฒิสภา ซึ่งในจำนวนนี้รวมแล้วประมาณ 47-50 คน โดยที่จะทำให้องค์กรกะทัดรัด ซึ่งจะให้การทำงานเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามถือเป็นแนวคิดในเบื้องต้นของพรรคเพื่อไทย

"เรื่องคำวินิจฉัยของศาลยังยึดโยงกับ MOA ของพรรคประชาชน (ปชน.) กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.)  ในเงื่อนไขของการยุบสภาภายในระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งหมายความว่าในเวลาดังกล่าว ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาครบทั้ง 3 วาระแล้วก่อนที่จะยุบสภา ซึ่งหากไม่แล้วเสร็จก็จะไม่มีอะไรไปทำประชามติ และเพื่อไม่ให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป"

นายชูศักดิ์กล่าวต่อว่า ร่างกฎหมายประชามติปัจจุบันยังไม่มีผลบังคับใช้ และต้องถามความพร้อมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการทำประชามติ ที่จะต้องมีการชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ในวันเลือกตั้ง สส.ทั่วไป นอกจากจะมีการเลือกตั้ง สส.แล้ว ต้องทำความเข้าใจกับการทำประชามติในคราวเดียวกันด้วย โดยเฉพาะมีคำถามประชามติ 2 คำถาม ซึ่งวันนี้คณะกฎหมายชุดเล็กจะหารือกัน ก่อนที่จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมชุดใหญ่ของพรรคในวันที่ 16 ก.ย.

"หากจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จทั้ง 3 วาระ ภายในระยะเวลา 4 เดือนไม่ต้องเป็นอันกินอันนอน หลัง ต.ค.ปิดสมัยประชุมสภาก็ไม่ต้องไปไหนกัน ประชุมการจัดทำรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ต้องทุ่มเทกันถึงขนาดทั้งวันทั้งคืน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทัน พี่น้องสื่อมวลชนก็ถามกันว่าปวดหัวไหม ยอมรับว่าปวดหัว ปัญหาไม่ใช่ง่ายๆ พอไปประชุมมีเรื่องที่ต้องให้คิดสลับซับซ้อน เถียงกันได้ทั้งวันทั้งคืน" นายชูศักดิ์กล่าว

ที่รัฐสภา นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ภายใน 4 เดือนนี้สภาควรเดินหน้าแก้มาตรา 256 คาดว่าในช่วงสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า น่าจะมีการยื่นร่างข้อเสนอของแต่ละพรรคการเมืองเข้ามา น่าจะรับหลักการวาระ 1 และตั้ง กมธ.ศึกษาได้ก่อนปิดสมัยประชุมนี้ ส่วนการเปิดประชุมสมัยหน้าน่าจะบรรจุและพิจารณาวาระ 2-3 เสร็จภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งน่าจะพอดีกับที่ พ.ร.บ.ประชามติจะสามารถบังคับใช้ได้ และยุบสภาได้ในช่วงต้นปีหน้า

นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า สำหรับการที่ให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร.โดยตรงไม่ได้นั้นมีหลายแนวทาง เช่นการให้ประชาชนเลือกกลุ่มตัวแทนของประชาชน แล้วให้สภาเป็นคนเลือกเข้าไปเป็น ส.ส.ร. นอกจากนี้ยังมีหลายแนวทางที่คัดเลือก ส.ส.ร.ยึดโยงกับประชาชน แต่อาจจะไม่ใช่การเลือกโดยตรง เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม

ขณะที่นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่า รัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างได้โดยตรง สิ่งนี้ไม่ใช่คำวินิจฉัย แต่เป็นความเห็นที่ดักไว้ข้างหน้า รัฐสภามีสิทธิ์ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ สมาชิกรัฐสภาต้องยืนยันในฐานะที่เป็นเสาหลักอำนาจอธิปไตย ต้องเป็นประภาคารและกำแพงปกป้องสิทธิของประชาชน ไม่ยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญลดทอน

"รัฐบาลนี้มี MOA ในการจัดตั้งรัฐบาล ก่อนครบ 4 เดือนจะต้องเกิดเวทีและรณรงค์ให้แก่ประชาชน วันแถลงนโยบายเราต้องถามรัฐบาลโดยเฉพาะนายอนุทิน ว่ามีความจริงใจและแผนการรณรงค์เรื่องการจัดทำรัฐธรรมฉบับใหม่อย่างไร ไม่ใช่แค่รอกลไกรัฐสภาและมีประชามติ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 ก่อนที่จะมีการทำประชามติ รัฐบาลและ กกต.มีกระบวนการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้คนไปใช้สิทธิ์ในการออกเสียงประชามติ" นายเทวฤทธิ์กล่าว

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ” ระบุว่า สิ่งที่ต้องเตือนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย ที่จะเสียเงินประชาชนมาทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อย่างน้อยพวกท่านต้องทราบวัตถุประสงค์ในการร่างรัฐธรรมนนูญ 2560 1.ให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นที่ยอมรับนับถือของสากล แต่ต้องสอดคล้องกับวัฒนธรรม วิถีชีวิตสภาพของสังคมไทย 2.มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการปฏิรูปและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น 3.มีมาตรการป้องกันไม่ให้การเมืองเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อตนเองและพวกพ้อง 4.มีแนวทางขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างได้ผล ในอันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ 5.สร้างกลไกเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน

"ต้องถามว่าอะไรกันแน่ที่เป็นอุปสรรคในรัฐธรรมนูญ 60 นี้ ถึงต้องยกร่างกันใหม่ เพราะประชาชนไม่เดือดร้อนอะไรเลย แต่ถ้าประเด็นใดมีปัญหาก็สามารถแก้ไขเป็นประเด็นได้ ประชาชนต้องการให้พวกท่านแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาปากท้อง ปัญหาอธิปไตยแห่งดินแดน ถ้ายังดื้อดึงที่จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ คิดว่าทั้งรัฐบาลและสภาชุดนี้เจอพลังของมวลชนแน่นอน" นพ.วรงค์กล่าว

วันเดียวกัน สำนักงาน กกต.ได้ชี้แจงอีกครั้งถึงการพิจารณาคำร้องเพื่อยุบพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาล กรณีมีการยื่นร้องว่ายอมให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคชี้นำครอบงำ  ว่า คำร้องดังกล่าวมีผู้ยื่นร้องต่อ กกต.ประกอบด้วย คำร้องของนายคงเดชา ชัยรัตน์, นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต, นายวรงค์ เดชกิจวิกรม และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้องพรรคเพื่อไทย และคำร้องของนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล ร้องพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ  กรณีนายทักษิณซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค ถูกกล่าวหาว่าครอบงำ ชี้นำ และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพรรคการเมืองทั้ง 6 พรรค

และกรณีนายสนธิญา สวัสดี ขอให้ตรวจสอบการกระทำของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันอาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 92 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 นั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองได้พิจารณายกคำร้องตามข้อ 7  หรือไม่รับคำร้องไว้พิจารณา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.