ม.144ปราบโกง ตามขยี้‘ก๊วนพท.’ โยกงบเอื้อตัวเอง

คณะรวมพลังแผ่นดินฯ เปิดเวทีชำแหละ "มาตรา 144 ชี้ชะตาประเทศ" ซัดรัฐบาลเพื่อไทยเบี้ยวหนี้ 3.5 หมื่นล้าน โยกงบแจก "ดิจิทัลวอลเล็ต" ชี้ความผิดสำเร็จแล้ว ภาคประชาชนต้องเอาคนที่เป็นพิษภัยออกจากระบบ ใครเกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบทั้งหมด เผยโครงการประชานิยม 20 ปี ประเทศเป็นหนี้กว่า 34 ล้านล้านบาท "จรัญ-ชัยสิทธิ์" ชี้ช่องร้อง ป.ป.ช.เอาผิด "พิเชษฐ์" ทางปกครอง

ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ วันที่ 15 กันยายน กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยจัดเสวนาหัวข้อ “รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ชี้ชะตาประเทศ” โดยนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มาตรา 144 เป็นเรื่องของการป้องกันปราบปรามการทุจริต รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนารมณ์ปกป้องเงินแผ่นดิน วินัยการเงินการคลัง เพราะคนที่จะเอาไปใช้ง่ายที่สุดคือนักการเมือง รัฐมนตรี สส.และ สว.ที่มีอำนาจ ทั้งส่วนบริหารคือ ครม.มีสิทธิ์ใช้เงินภาษีประชาชนหลายล้านๆ บาท พบว่ามีการเอาไปแจกเพื่อให้คะแนนเสียง ก่อให้เกิดปัญหา 20 ปี วันนี้มีหนี้ 34 ล้านล้านบาท เกิดจากนโยบายประชานิยม การออกกฎหมายฉบับนี้มาเพื่อป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ไม่ให้เหมือนหลายประเทศ อยากมีอำนาจแล้วเอาเงินจากภาษีประชาชนมาทำประชานิยม

นายชาญชัยกล่าวว่า อย่างกรณีที่พิจารณางบประมาณปี 68 มีการถกเถียงกันเรื่องรัฐบาลเบี้ยวหนี้ 3.5 หมื่นล้านบาท เอาไปแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตตามที่รัฐบาลเพื่อไทยประกาศ ซึ่งการประกาศยังไม่รู้เลยว่าเงินจะมาจากไหนและไม่ได้อยู่ในนโยบายด้วย ระหว่างนั้นนายชาญชัยได้นำวาระการประชุมและมติการประชุมฉบับที่ 38 มาประกอบการเสวนา พร้อมระบุว่า มีเอกสารหลักฐานที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบที่จะขอแปรญัตติตัดงบดังกล่าวผ่านวาระ 1 ไปแล้ว ครม.กำลังอนุมัติในสิ่งที่กฎหมายต้องห้าม

นายชาญชัยระบุอีกว่า เมื่อผ่านวาระ 1 ไปแล้ว ครม.มีมติว่าจะให้หน่วยงานทั้งหมดทั่วประเทศแปรญัตติ เมื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเงินไม่พอ จึงให้สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังหาทางหาเงินมา เมื่อไม่รู้จะไปหาเงินมาจากไหน จึงไปตัดงบประมาณที่จะนำไปใช้หนี้ เป็นหนี้ที่กู้โดยธนาคารไปกู้มาใช้เพื่อประโยชน์ของรัฐ อย่าง ธ.ก.ส.ช่วยเกษตรกร ความสำคัญคือการกู้หนี้สาธารณะ แต่เอาไปใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต เอกสารทั้งหมดนี้ส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการแล้ว ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะทำให้ประเทศเป็นหนี้ 34 ล้านล้านบาท ถ้าไม่หยุดยั้งเราจะเสียเงินไปแจกเล่นเป็นหนี้อีกกว่า 5 แสนล้าน

 “ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ การไปตัดงบประมาณเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยและเงินตามกฎหมายที่ ครม.ผ่านวาระ 1 แล้ว กรรมาธิการงบประมาณจะไปตัดไม่ได้เด็ดขาด เป็นเรื่องต้องห้าม หลักใหญ่เจตนารมณ์เขียนว่าไม่ให้คณะกรรมาธิการไปแปรญัตติปรับลด เพราะฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้หน่วยงานนิติบัญญัติไปตั้งโครงการขึ้นมาใหม่ นอกจากแผนงานที่มีการวางแผน เจตนารมณ์ต้องการไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปก้าวล่วงฝ่ายบริหาร จึงไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติคือกรรมาธิการ ไปตามใจฝ่ายบริหารที่เสนอมา" นายชาญชัยกล่าว 

ด้านนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวเกี่ยวกับแนวคิดกฎหมายเรื่องนี้ว่ามีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 และรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่ไม่มีสภาพบังคับ จุดที่หนึ่งคือไม่มีบทแซงก์ซันสำหรับการทำผิดวรรค 1 ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่มีช่องทางหรือใครมาชี้ขาด ถ้า สส. สว.สภาผ่านหมด การทำผิดวรรค 1 ที่เรียกว่ามาตรการเบี้ยวหนี้สาธารณะ หรือหนี้ที่ต้องชำระในปีงบประมาณนั้นไม่มีสภาพบังคับ ใครไปร้องต่อศาลไม่ได้ เพราะการที่เขียนไว้ในปี 60 วรรค 3 แม้กระทั่งฉบับปัจจุบันก็ลอกของปี 50 มา  วรรค 3 ใน สส.หรือ สว. 1 ใน 10 ในจำนวนทั้งหมด เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เฉพาะการฝ่าฝืนวรรค 2  วรรค 1 หลุด รัฐบาลเขาถึงไม่กลัว แต่รัฐบาลนี้พังเพราะที่ปรึกษากฎหมายที่ไม่รอบคอบ เขาเชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญ 40, 50 เขาอ่านไม่แตก

 นายจรัญกล่าวต่อว่า พอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน หลุดจากตำแหน่ง ตัดสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี แต่ที่ไปยังไม่สุด ไม่ได้วินิจฉัยเรื่องชดใช้เงิน เพราะยังไม่ได้เอาเงินไปใช้ แต่ความจริงได้เอางบประมาณ 2568 ไปใช้แล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญไปเดินตามบรรทัดฐานเดิม แต่ทำไมนายพิเชษฐ์ถึงโดน เพราะทำอีกครั้งหนึ่งในร่างงบประมาณ 2569 ที่ยังคาอยู่ในสภา โดยเฉพาะวรรค 4 สำหรับเจ้าหน้าที่จัดทำโครงการจัดสรรเงินงบประมาณ มีหนังสือแจ้งว่ามีการฝ่าฝืนตามวรรค 1 และวรรค 2 ที่เขาเติมบทแซงก์ซันเข้ามา เป็นมาตรการหลังร่างงบประมาณผ่านรัฐสภา เจ้าหน้าที่ไม่เคยเสนอเรื่องไป ป.ป.ช.เลย ถ้าเจ้าหน้าที่เสนอไป ป.ป.ช.มีหน้าที่ทันทีตามวรรค 6 ในกรณีที่ป.ป.ช.รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ผู้จัดสรรงบประมาณ ป.ป.ช.ต้องสอบสวนโดยพลัน ถ้าสอบแล้วเห็นว่ามีมูลต้องเสนอศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) กล่าวเพิ่มเติมในการร้องต่อ ป.ป.ช.ว่า คนที่จะร้องได้มีเฉพาะ สส.หรือ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10  แต่วรรค 4 ให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือร้องต่อ ป.ป.ช.ดำเนินการตามวรรค 1 และวรรค 2 ก็ได้ ซึ่งตามวรรค 5 เมื่อ ป.ป.ช.ได้รับแล้วต้องสอบสวนโดยพลัน เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะมาตรา 88 ของ ป.ป.ช. เมื่อความปรากฏต่อ ป.ป.ช.ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรค 4 ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบสวนเป็นทางลับโดยพลัน เมื่อคณะของคุณชาญชัยถึง ป.ป.ช.ในเรื่องนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจหน้าที่สอบสวนโดยพลัน

 “มาตรา 144 แซงก์ชันสภาพบังคับ มีทั้งโทษทางการเมือง ต้องสิ้นสุดการเป็นสมาชิกภาพ สส.และ สว.หรือรัฐมนตรี ถ้ามีส่วนในการกระทำและถูกตัดสิทธิการเลือกตั้ง โทษทางปกครองที่จะต้องรับผิดเงินแผ่นดินที่สูญเสียไป  อย่างงบดิจิทัลใช้ไปเท่าไหร่ คนที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ โทษทางอาญา มาตรา 172 ควรต้องมีการบังคับโทษตามกฎหมายโดยเคร่งครัด” นายชัยสิทธิ์กล่าว

นายชาญชัยกล่าวย้ำว่า คณะรวมพลังแผ่นดินฯ มีเจตนาให้ประชาชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับมาตรา 144 ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องการแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ของประเทศ เพราะเป็นการกัดเซาะบ่อนทำลายทุกวงการ ไม่ว่าสถาบัน ศาสนา การเมืองก็เสียหายเพราะเรื่องนี้รวมทั้งเศรษฐกิจ กลายเป็นสังคมที่อยากมีอยากได้ โดยไม่มีคุณธรรมแยกแยะถูกผิดชั่วดีได้เลย ถ้าแก้จุดแรกจิตสำนึกของผู้มีอำนาจ ทำตัวเป็นตัวอย่างได้ จะช่วยให้ประเทศไทยไม่เป็นเหมือนประเทศที่กำลังมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เราจะต้องสกัดกั้นไม่ให้เกิด และเอาคนที่เป็นพิษเป็นภัยออกไปจากระบบให้ได้ ภาคประชาชนเราทำได้  

 ส่วนนายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า ครม.ของนายเศรษฐา ทวีสิน และ ครม.ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เกี่ยวข้องกันเป็นทฤษฎีสมคบคิด มีการอนุมัติเงิน 5 แบงก์ ใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นอกจากนี้ยังมีการกระทำร่วมทั้ง สส.และ สว.ร่วมด้วย เพราะมีการแปรญัตติกองทุน สส.และ สว.ที่ลงมติเห็นชอบในวาระ 2 และ วาระ 3 ทั้งหมดเป็นผลประโยชน์ส่วนตนที่ได้ทั้งในทางตรงและทางอ้อมของ สส.และ สว.ตลอดชีพ.