“อนุทิน” เตรียมบินไปประชุมยูเอ็น จะหายไปไม่ได้เพราะมีคนขี้ฟ้องไปบอกว่าไทยละเมิดกฎนานาชาติ ฉะนั้นเป็นโอกาสที่ดีต้องไปพบกับประชาคมโลก ลั่นวันนี้แยกกันเดินร่วมกันตี ทหารคิดยุทธศาสตร์ไป รัฐบาลก็ต้องหาวิธีที่ต้องกดดัน วันนี้ยอมไม่ได้แล้ว “บิ๊กกุ้ง” ขอบคุณนายกฯ ที่ไฟเขียว
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่สมาคมธนาคารไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมบินไปประชุมยูเอ็นที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าตอนนี้กำลังตรวจสอบดูอยู่ว่าทางประธานรัฐสภาจะกรุณาให้แถลงนโยบายวันไหน โดยตนได้ขอไปวันจันทร์ที่ 29 ก.ย.นี้ แต่เวทียูเอ็นที่ให้ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์เกิดขึ้นในวันที่ 26 ก.ย. โดยวันที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ คือวันพุธที่ 24 ก.ย. หลังจากที่เข้าเฝ้าฯ แล้วจะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันที โดยจะหารือเรื่องนี้ด้วยกับหลายหน่วยงาน ทั้งกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าสถานะของรัฐบาลในการไปประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็น จะสามารถไปได้หรือไม่ หากไปได้ก็จะสามารถไปพบปะหารือหรือร่วมทวิภาคี โดยมีความชัดเจนตรงนั้น
นายอนุทินกล่าวต่อว่า การไปเวทียูเอ็นมีความจำเป็น เพราะอยู่ดีๆ ประเทศไทยก็หายไปจากวงยูเอ็น ทั้งที่เรื่องที่คนไปร้องเรียนว่าประเทศไทยละเมิดกฎนานาชาติ ซึ่งจริงๆ แล้วเราถูกละเมิดมากกว่า จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ไปพบกับประชาคมโลก และผู้นำประเทศที่จะชี้แจงให้ทราบว่าไทยไม่ได้เป็นตามที่ถูกกล่าวหามา ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นและได้เตรียมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้สแตนด์บายไว้ ตนนั้นได้อยู่แล้วและได้ให้เตรียมแผนการเดินทางแล้ว ไปเช้าเย็นกลับใช้เวลาเดินทางมากกว่าเวลาไปประชุม เพราะวันที่จะหารือได้มากที่สุดน่าจะเป็นวันที่ 25-26 ก.ย. และจะกลับมาทันแถลงนโยบายถ้าหากเป็นวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค.
ทั้งนี้ ในการไปพูดคุยในเวทียูเอ็น ประเด็นหลักๆ ก็มีหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการค้า ภาษีนำเข้าและส่งออก เรื่องอธิปไตยของไทยต่างๆ มากมาย ถามว่า หากไปเยือนยูเอ็นแบบไม่แสดงวิสัยทัศน์ได้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวย้ำว่า จะต้องหารือกับหลายหน่วยงานก่อน เพราะมันมีขั้นตอน
ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ นายอนุทิน ในฐานะประธานนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 61 เข้าร่วมงานการแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 67 โดยนายอนุทินกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ "แยกกันเดินร่วมกันตี" มีความหมายกับตนมาก ทหารก็คิดยุทธศาสตร์ไป รัฐบาลก็ต้องหาวิธีที่ต้องกดดัน วันนี้ยอมไม่ได้แล้ว มาถึงขนาดนี้ แต่ไม่ใช่การไล่ตีแต่เป็นการทำงานเชิงรุก กำหนดเงื่อนไขให้คนที่มีปัญหากับเราต้องยอมรับ เพราะประเทศไทยได้เปรียบทุกประตู ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ แสนยานุภาพ เมื่อได้เปรียบแบบนี้จะให้เรายอมก่อนไม่ได้ ตนคิดว่าตนและที่นั่งในห้องนี้สะกดคำนี้ไม่เป็น ตนกับ รมว.กลาโหมและทุกเหล่าทัพ จะใช้แนวทางนี้ดำเนินยุทธศาสตร์ต่อกรกับคนที่เรามีปัญหาอยู่ ชายแดนกัมพูชาต้องมีคำตอบมีผลลัพธ์ให้ประเทศไทย ที่สำคัญต้องไม่สูญเสียอะไรไปมากกว่าผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตนขอว่าต้องไม่มี เราต้องทำให้ได้ภายใน 4 เดือน จะไม่ยอมให้เกิดขึ้น
ด้าน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยความคืบหน้าการนัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) จัดทำแผนดำเนินการถอนอาวุธหนัก และยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนว่า ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีท่าทีที่จะดำเนินการ มีแต่จะเพิ่มกำลังในพื้นที่ ซึ่งยังไม่ชัดว่าจะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ และยังไม่ได้มีการกำหนดการประชุม RBC คาดว่าจะเป็นต้นเดือน ต.ค.นี้
"การทำแผนถอนอาวุธก็คงดำเนินการไปอย่างนั้นตามทฤษฎี และเชื่อว่ากัมพูชาก็คงไม่นำไปสู่การปฏิบัติ ต่อไปนี้หากกัมพูชามีพฤติกรรมยั่วยุ เราจะไม่คุยต่อไปแล้ว ปัจจุบันพบว่ากัมพูชายังใช้โดรนบินเข้าพื้นที่อธิปไตยของไทยทุกวัน และยังพบว่ามีการฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอยู่เรื่อยๆ" พล.ท.บุญสินกล่าว
เมื่อถามว่า นายอนุทินประกาศให้อำนาจกองทัพตัดสินใจเปิดปิดด่าน และสร้างรั้วชายแดนเต็มที่ พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ต้องขอบคุณนายกฯ ที่ให้ความเชื่อมั่นและไฟเขียวกองทัพในการแก้ไขปัญหาชายแดน
ทั้งนี้ กองทัพไทยได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ในพื้นที่อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงประเด็นหลักเขตแดนว่า หลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยการกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดนที่ 42 และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44
สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย-กัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR คือ การสำรวจสภาพและที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โดยในส่วนของหลักเขตแดนที่ 42 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 2-29 ตุลาคม 2549 พบว่ายังอยู่ในสภาพดี แต่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องที่ตั้ง ประมาณ 80 เมตร ส่วนหลักเขตแดนที่ 43 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน-12 ธันวาคม 2549 พบว่าหลักล้ม และถูกฝังอยู่ในดิน อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงที่ตั้งที่ถูกต้องร่วมกันได้ และได้สร้างหมุดชั่วคราว (Temporary Marker: TM) ไว้ ณ ตำแหน่งดังกล่าว
ผลการสำรวจร่วมทั้งหมด 74 หลัก รวมถึงหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ได้รับการรับรองแล้วในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่ได้มีการสำรวจแนวเขตแดนในส่วนของเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ในหลักฐานบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนทั้งสอง ซึ่งเป็นไปตามที่ระบุในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ได้ระบุแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง
สำหรับบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 เป็นบันทึกของข้าหลวงปักหลักเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส จัดทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1908-1909 โดยใช้ต้นไม้หรือเสาไม้ติดแผ่นโลหะเป็นหลักเขตแดน ต่อมาในปี ค.ศ. 1919-1920 ได้เปลี่ยนเป็นหลักคอนกรีตทดแทนซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหลักไม้หรือเสาไม้เดิม โดยในแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนของบันทึกวาจาทั้งสองช่วง ได้กำหนดแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักที่ 42 และ 43 โดยแนวเส้นตรงดังกล่าวผ่านกึ่งกลางของหลักเขตแดนทั้งสองอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ กองทัพไทยขอยืนยันว่า บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนที่เกิดจากความแตกต่างของการลากเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการรับรองร่วมกันแล้ว ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU 2543) และการหารือในระดับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) อย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ที่บริเวณจุดตรวจบ้านหนองจาน (จต.ส.40) ถนนศรีเพ็ญ ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว มีความเคลื่อนไหวทางฝั่งกัมพูชา โดยได้มีทหารกัมพูชาส่วนหนึ่งนำคณะทหารซึ่งคาดว่าเป็นคณะ IOT จำนวน 30-40 คน เข้ามายังพื้นที่บริเวณแนวลวดหนาม เพื่อติดตามสถานการณ์เพิ่มเติม จากในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ชาวบ้านมารวมตัวชุมนุมประท้วงและติดตามสถานการณ์ฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง และทางฝั่งกัมพูชายังมีการทำไอโออย่างต่อเนื่อง โดยมีการถ่ายภาพและถ่ายคลิปวิดีโอไว้เพื่อนำไปเผยแพร่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พท.ผวา ‘มันนีโพลิติกส์’
พรรคประชาชนเดินหน้าฝันแลนด์สไลด์ได้ สส. 250 ที่นั่ง จัดตั้งรัฐบาลประชาชน ดูจากตัวเลขผู้บริจาคให้พรรคมากกว่าแสนคน ขณะที่เพื่อไทยต้อนรับทีมสุวัจน์
ยึดเนิน350ได้แล้ว! ร่าง2ทหารกล้ากลับมาตุภูมิ/ส่งสัญญาณเตือนชนชั้นนำเขมร
ข่าวดี! ทหารไทยควบคุมเนิน 350 ได้แล้ว อยู่ระหว่างการสถาปนาความมั่นคง นำร่าง 2 วีรบุรุษกลับมาตุภูมิ ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ ตรวจพบการปะทะเป็นระยะ
แฉ‘สแกมเมอร์’ เล็งหลอกคนแก่ ดูดเงินในมือถือ
ตร.เตือนภัย สแกมเมอร์พุ่งเป้าข้าราชการบำนาญ ลวงอัปเดตข้อมูล รับสิทธิ์ ติดตั้งแอปควบคุมโทรศัพท์ดูดเงิน
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
เตือน!ใช้สิทธิประชามติ 8ก.พ.เท่านั้นไม่ล่วงหน้า
"กกต." แจงลงทะเบียนใช้สิทธินอกเขต “เลือกตั้ง สส.” ล่วงหน้า 1 ก.พ. แต่ “ประชามติ รธน.”
นายกฯอนุทิน เดินชมงานโอทอป วันแรก ก่อนเป็นประธานพิธีเปิด 22 ธ.ค.นี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย วันที่ 20 ธ.ค. เวลา 16.30 น. นายอนุทินใช้เวลาช่วงวันหยุดราชการเดินเที่ยวงาน OTOP City 2025 วันแรก ที่เมืองทองธานี ซึ่งงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-28 ธ.ค.68 โ

