สันดาน!เขมรยิงยั่วยุ ช่องอานม้าเดือด!สร้างสถานการณ์โชว์IOTเอาไว้อ้างไทยเริ่มก่อน

ช่องอานม้าเดือด! เขมรไว้ใจไม่ได้จริงๆ ยิงปืนกลสลับใช้เครื่องยิงลูกระเบิดยิงใส่ฝ่ายไทย โดนโต้กลับด้วยอาวุธเช่นเดียวกัน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ชี้เป็นการยั่วยุให้เกิดสถานการณ์ ให้สอดคล้องกับคณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) ของกัมพูชาเข้าพื้นที่  ขณะที่ ทบ.ย้ำข้อเท็จจริงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่ความขัดแย้งของประชาชน โต้ “ฮุน มาเนต” ชี้ปมปัญหาเขตแดนที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการละเลยและเจตนาของฝ่ายกัมพูชาในการสร้างปัญหาซ้ำซากเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

เมื่อเวลา 12.03 น. วันที่ 27 กันยายน 2568  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ช่องอานม้า อ.บ้านน้ำยืน  จ.อุบลราชธานี ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลมือยิงเข้ามายังเจ้าหน้าที่ทหารฝั่งไทย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะตอบโต้ด้วยการยิงปืนกลเข้าไปเช่นกัน

จากนั้นทางฝ่ายกัมพูชาได้ใช้เครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามาฝั่งไทย ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารฝั่งไทยกำลังตอบโต้กลับ ต่อมาในเวลาประมาณ 12.30 น. ได้หยุดยิงตอบโต้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยปลอดภัยทุกนาย แต่ก็ยังคงตรึงกำลังไว้ทุกจุด  และมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา

ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปสถานการณ์ว่า เมื่อเวลา 12.02 น. ฝ่ายกัมพูชาได้พยายามสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดขึ้นอีกครั้งบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดยใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามายังพื้นที่ของฝ่ายไทยจากบริเวณเนิน 677 มายังเนิน 600 และ เนิน 527 พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนเล็กยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนที่สถานการณ์จะยุติลง ทั้งนี้ การปะทะจำกัดวงอยู่เฉพาะบริเวณดังกล่าว  แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังควบคุมพื้นที่อย่างใกล้ชิด

ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ฝ่ายไทยได้รับแจ้งจากกัมพูชาว่า คณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) ของกัมพูชา จะเดินทางเข้าพื้นที่ช่องอานม้า กองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่าเป็นความพยายามของกัมพูชาในการสร้างเงื่อนไข และยั่วยุให้เกิดสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่คณะ IOT เดินทางเข้าพื้นที่ โดยในอดีตกัมพูชามักใช้กลยุทธ์ลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  และในครั้งนี้ก็ยังคงดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน

นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังตรวจพบว่า ฝ่ายกัมพูชาได้มีการตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ล่วงหน้า บริเวณฐานปฏิบัติการทางทิศใต้ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะนำเหตุการณ์ไปใช้เผยแพร่ในเวทีนานาชาติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าฝ่ายไทยเป็นผู้ริเริ่มการปะทะ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำเชิงยุทธวิธีที่ไม่เหมาะสมของฝ่ายกัมพูชาเอง การใช้อาวุธยิงโจมตีในห้วงเวลากลางวัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางยุทธวิธี แสดงถึงเจตนาชัดเจนที่จะยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้ หากฝ่ายไทยดำเนินการตอบสนอง ก็เสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และถูกขยายผลในเวทีระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังคงควบคุมสถานการณ์ด้วยความสุขุม รอบคอบ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะตกเป็นประโยชน์ต่อการโฆษณาชวนเชื่อของกัมพูชา แต่ขอยืนยันว่า กองทัพไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างเต็มกำลัง ควบคู่ไปกับการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

ในขณะเดียวกัน กองทัพภาคที่ 2 ได้จัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนลงพื้นที่เพื่อช่วยประสานงาน อำนวยความสะดวก และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ากองทัพจะไม่ทอดทิ้งและพร้อมยืนเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ กองทัพภาคที่ 2 จะติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร โดยติดตามเฉพาะช่องทางอย่างเป็นทางการของหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อป้องกันการเกิดความเข้าใจผิดหรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยว่า เวลาประมาณ 12.00-12.30 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามายังพื้นที่บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี โดยปัจจุบันกองกำลังสุรนารีได้เตรียมพร้อมและสั่งการให้ยิงตอบโต้ตามสถานการณ์

โฆษกกองทัพบกมีข้อสังเกตว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าวฝ่ายกัมพูชาได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT กัมพูชาลงพื้นที่ตรวจสอบบ่อยครั้ง จึงคาดว่าการสร้างสถานการณ์ดังกล่าวเป็นการยั่วยุเพื่อให้ฝ่ายไทยยิงตอบโต้และเข้าโจมตี เพื่อใช้เป็นหลักฐานแจ้งต่อคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT-กัมพูชา ว่าฝ่ายไทยได้ละเมิดต่อมาตรการหยุดยิง

ส่วนกรณีฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความกล่าวถึงเรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ จ.สระแก้ว โดยในหลายประเด็นพบว่ามีการกล่าวอ้างและตอบโต้ต่อคำชี้แจงของฝ่ายไทยด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและอาจทำให้สาธารณชนเกิดความสับสนนั้น พล.ต.วินธัยชี้แจงว่า ข้อมูลที่สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยนั้น มีทั้งส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และก็มีอีกหลายส่วนที่ยังเป็นลักษณะของการกล่าวอ้างเฉพาะในมุมที่ต้องการของตัวเองฝ่ายเดียว มีลักษณะพาดพิงฝ่ายไทย จึงขอเรียนชี้แจงให้สังคมได้ทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเหมาะสมในประเด็นสำคัญ ดังนี้

ประการที่ 1 จากการที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า “ตาม MOU นี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาสถานะเดิม จนกว่างานปักปันเขตแดนจะเสร็จสมบูรณ์” การที่นำข้อตกลงใน MOU มาอ้างเหตุการณ์ในขณะนี้ ก็ต้องย้อนไปดูฝ่ายกัมพูชาเองว่าทำตามข้อตกลงได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมากว่า 20 ปี กัมพูชาเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ด้วยการสร้างบ้านเรือนและตั้งชุมชน ไม่เพียงเฉพาะในพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ หรือพื้นที่ที่อยู่ในกรอบเงื่อนไขข้อตกลง MOU เท่านั้น แต่ยังมีการรุกล้ำเกินเลยเข้ามากินพื้นที่ในอาณาเขตดินแดนประเทศไทย ทั้งที่พื้นที่ส่วนนี้ไม่ได้เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน

ซึ่งหากดูหลักฐานด้วยภาพถ่ายทางอากาศแล้วเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่อย่างชัดเจนจากการละเมิดของฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยได้ดำเนินการประท้วงมาแล้วมากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของ MOU ที่กำหนด แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไขจากฝ่ายกัมพูชา และในทางกลับกัน พบว่าหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย มีกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทยอย่างชัดเจน เช่น พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ที่เข้ามาขุดคูติดต่อทางทหาร และพื้นที่ชุมชนใน จ.สระแก้ว ตามที่เกิดประเด็นความขัดแย้งในปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง

ประการที่ 2 จากการที่กล่าวหาว่าฝ่ายไทยลากเส้นเขตแดนเอง จากพิกัดหลักเขตที่คณะกรรมการสำรวจหลักเขตร่วมทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วนั้น เขตแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวนั้น ในส่วนที่ภูมิประเทศเป็นภูเขาจะใช้สันปันน้ำเป็นตัวแบ่ง ส่วนภูมิประเทศที่เป็นลักษณะที่ราบจะใช้หลักเขตแดนเชื่อมต่อกันเป็นตัวระบุเขตแดน ซึ่งจะไม่ค่อยมีความซับซ้อนหรือต้องอาศัยองค์ประกอบงานเทคนิคด้านแผนที่ขั้นสูงอย่างที่กล่าวอ้าง อาศัยแค่ความซื่อสัตย์และจริงใจ ตรงไปตรงมา ก็จะสามารถหาข้อสรุปในเรื่องเขตแดนสำหรับพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพื้นราบได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะช่วยสามารถลดเวลาขั้นตอนการทำงานของคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดนทางบก (JBC) ได้เป็นอย่างดี

โดยพิกัดหลักเขตตามแนวชายแดนทั้งหมด 74 หลักเขต ได้มีการสำรวจและบันทึกพิกัดโดยคณะกรรมการสำรวจหลักเขตร่วมของทั้งสองประเทศเรียบร้อยแล้ว และมีเอกสารระบุไว้อย่างชัดเจน ทั้งพิกัดหลักเขตที่เห็นตรงกันและเห็นต่างกัน ในส่วนที่เห็นต่างก็กลายเป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ซึ่งตาม MOU ได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ใดๆ

ดังนั้น การที่กล่าวว่าฝ่ายไทยลากเส้นเขตแดนเองนั้นจึงไม่ถูกต้อง เพราะทางการกัมพูชาก็ทราบดีว่าหลักเขตใดอยู่พิกัดใด ส่วนเส้นตรงที่ลากเชื่อมต่อระหว่างหลักเขต ก็เป็นเส้นอ้างอิงที่ใช้ในการกำหนดเขตแดนตามหลักการในกรณีที่พื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ราบ ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายไทยวาดเส้นเขตแดนขึ้นเองตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง

ในกรณีของหลักเขตที่ 42 ถึง 43 เมื่อลากเส้นตรงในแผนที่ เพื่อเชื่อมโยงตำแหน่งของหลักเขต 43 ที่คณะสำรวจของทั้งสองประเทศเห็นตรงกัน ไปยังตำแหน่งของหลักเขตที่ 42 ไม่ว่าจะเป็นในตำแหน่งที่กัมพูชากล่าวอ้าง หรือตำแหน่งที่ไทยกล่าวอ้างก็ตาม ก็จะพบว่ามีพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ซ้อนทับกันอยู่

และที่สำคัญที่สุด พื้นที่พิพาทบ้านหนองหญ้าแก้ว รวมถึงบริเวณบ้านหนองจาน ที่ฝ่ายไทยยืนยันต้องดำเนินการให้ชาวกัมพูชาย้ายออกไปตามประกาศของ จ.สระแก้วนั้น อยู่ในเขตดินแดนไทยชัดเจน ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายได้อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันอยู่

โฆษก ทบ.ยังได้กล่าวว่า ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไม่ได้เกิดขึ้นจากประชาชนทั้งสองประเทศตามที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาพยายามจะสื่อ แต่เป็นการละเลยในการแก้ไขปัญหาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะหาทางออกข้อพิพาทเขตแดนกับกัมพูชาด้วยแนวทางสันติวิธี ภายใต้หลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ และเคารพต่ออธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน จึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มที่ด้วยเช่นเดียวกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ร่าง 'จ่าเริง' ถึงมาตุภูมิพรุ่งนี้ ภรรยาเผยนำศพลงมาไม่ได้ เพราะสามีสัญญาไว้ต้องยึดเนิน 350 ให้ได้ก่อน

แม่จ่าเริง ทหารพลีชีพเนิน 350 ภูมิใจทหารทุกนายที่ทำสำเร็จได้เนิน 350 คนมา ขอให้รบชนะแบบเบ็ดเสร็จโดยเร็ง และให้ประเทศไทยมีแต่ความสงบสุขหลังจากนี้ ผู้ว่าฯเผยการเตรียมจัดงานพร้อมทุกอย่างแล้ว ร่างมาถึงพรุ่งนี้

เปิดภาพ นายพลชกเคง ระดับผบ.ของกัมพูชา บาดเจ็บจากโดรนทิ้งระเบิดบ้านสามหลัง

จากการสู้รบบริเวณชายแดนจังหวัดตราด พื้นที่บ้านหนองรี (บ้านสามหลัง) ทำให้กำลังพลฝ่ายกัมพูชาได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึง นายพลชกเคง ผู้บัญชาการยุทธบริเวณ ที่เป็นผู้อำนวยการยุทธอยู่พื้นที่ดังกล่าว ได้รับบาดเจ็บจากโดรนทิ้งระเบิดโจมตีใส่ที่ตั้งกองบัญชาการยุทธบริเวณ ในพื้นที่บ้านหนองรี ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บ

ครอบครัว 'จ่าเริง' ทหารกล้า ทำใจแล้วนำร่างกลับยาก ติดบนเนิน 350 นาน 4 วันแล้ว

แม่และพี่สาวจ่าเริง นักรบพลีชีพรับสภาพได้แล้วว่าการนำร่างกลับมายากลำบากเพราะอยู่ในสนามรบ ระบุจ่าเริงคงอยากให้ทางบ้านทำใจได้ก่อนจึงจะกลับมา ตอนนี้ภูมิใจที่คนทั้งประเทศแห่ให้กำลังใจ ร่างจะมาตอนไหนขึ้นอยู่กับโอกาส เห็นใจเจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนัก

'อนุทิน' เปิดพรรครับ 'กลุ่มรักสถาบัน' ให้กำลังใจ ปกป้องอธิปไตยไทย

'อนุทิน' เปิดพรรค รับดอกไม้-หนังสือ 'กลุ่มศปปส.' ให้กำลังใจปกป้องอธิปไตย ลั่นไทยไม่มีแพ้ ขอมั่นใจพร้อมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทหาร

'บิ๊กเล็ก' สั่งคุมเข้ม! รับเขมรอาจจ้องก่อวินาศกรรม 'แท่นขุดเจาะน้ำมัน'

'รมว.กห.' ยอมรับกัมพูชาอาจพยายามก่อวินาศกรรมแท่นขุดเจาะน้ำมัน หลังพบโดรนบินอ่าวไทย สั่งทุกเหล่าทัพเพิ่มความเข้มงวดมาตรการดูแลความปลอดภัย ชี้เขมรทำลายโดรน D-20 เป็นเรื่องน่าเสียดาย

เขมรยังไม่หยุด! บุกตีคืนบ้านสามหลัง ไทยยิงปืนใหญ่หนีกระเจิง

กัมพูชายังไม่หยุด นำกำลังตีคืนบ้านสามหลัง เจอ 'นย.ตราด' ระดมปืนใหญ่แตกกระเจิง ส่วนพื้นที่บ่อไร่-คลองใหญ่ ชาวบ้านกลับบ้านได้แล้ว หลังไร้เหตุปะทะนานกว่า 7 วัน