"อนุทิน" ประเดิมถก "ครม.ศก." เคาะแพ็กเกจกระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี ค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีได้ ชูเมืองหลัก 1 เท่า เมืองรอง 1.5 เท่า สูงสุด 2 หมื่นบาท ชง ครม.ไฟเขียวอังคารหน้า "เอกนิติ" ตีปี๊บชวนร้านค้าเข้า "คนละครึ่งพลัส" คาดเงินสะพัด 8.8 หมื่นล้าน ยันไม่ส่งข้อมูลให้สรรพากร “พิพัฒน์” ดันขนส่งสาธารณะร่วมด้วย ททท.ปลื้ม “ลิซ่า” ตอบรับตำแหน่ง Amazing Thailand Ambassador
ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 อาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 10.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์, นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม, น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน, น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล รมช.มหาดไทย, นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน, ตัวแทนคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน ประกอบไปด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย รวมถึงปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย
นายกฯ กล่าวช่วงต้นการประชุมว่า ได้รับคำแนะนำจากนายเอกนิติว่า ในเมื่อจะมีการประชุมเรื่องเศรษฐกิจแล้ว เพื่อที่จะทำให้การสื่อสารมีความรวดเร็วและสามารถรับฟังปัญหาจากทุกฝ่ายได้ จึงขอให้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี มีทั้งตัวแทนภาคเอกชนมาร่วมด้วย ต้องขอขอบคุณประธานภาคเศรษฐกิจและภาคเอกชนที่ได้ให้ความร่วมมือมาร่วมประชุมกับพวกเรา ซึ่งมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยความร่วมมือนี้ เราจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโต และแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนได้
ส่วนคณะกรรมการชุดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในคณะกรรมการได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และใช้เวทีนี้ในการพูดคุยและอัปเดตข้อมูลงานที่แต่ละกระทรวงกำลังขับเคลื่อน และมีการแลกเปลี่ยนความคืบหน้า ข้อชี้แนะกับภาคเอกชนด้วยการขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความสำเร็จและเห็นผลสัมฤทธิ์ภายในระยะเวลาที่เรามีอยู่ 4 เดือน ตามแนวคิดกระตุ้นสั้นได้ผลยาว กระจายตัว และเพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว จึงได้ขอให้ปลัดกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงานด้านเศรษฐกิจต่างๆ ได้เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย ซึ่งจะได้เป็นสะพานเชื่อมนำสิ่งที่พวกเราได้หารือกันในที่ประชุมนี้ไปให้ส่วนราชการที่กำกับดูแลช่วยกันดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
"การประชุมวันนี้ขอให้เน้นในเรื่องของความคล่องตัว ลดขั้นตอนทั้งหลายที่ไม่จำเป็น และเมื่อมีผลของการประชุมออกมาเช่นไร เป็นมติของที่ประชุมแล้ว ขอให้เรื่องต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของท่านตามกฎหมาย ขอให้ท่านได้ดำเนินการได้ทันที และหากมีความคืบหน้าหรือติดขัดอย่างไร ขอให้มารายงานในที่ประชุม เพราะจะมีการประชุมทุกสัปดาห์ และถ้ามีความจำเป็นในกรณีที่ต้องมีการใช้มติของคณะรัฐมนตรี หรืออำนาจของ ครม.ในการแก้ไขปัญหา ผมจะได้นำเรื่องบรรจุเข้าในที่ประชุม ครม.ต่อไป" นายอนุทินระบุ
ทั้งนี้ ตั้งใจไว้ว่าหลังจากนี้จะประชุมทุกบ่ายวันจันทร์ หากมีมติหรือมีการตกลงสิ่งใดแล้วจะได้บรรจุเข้าไปในวาระการประชุม ครม.ปกติ ที่จะมีขึ้นทุกวันอังคาร เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลารออีก 1 สัปดาห์ และในวันที่ 15 ต.ค.เป็นวันแรกที่เปิดให้ร้านค้าในโครงการลงทะเบียนคนละครึ่งพลัส และนายเอกนิติถือเป็นแอมบาสเดอร์ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการคนละครึ่งพลัส และขอให้คณะกรรมการเศรษฐกิจทุกท่านช่วยกันโปรโมตโครงการด้วย
เคาะบูมท่องเที่ยว
จากนั้นเวลา 12.15 น. นายเอกนิติเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแพ็กเกจกระตุ้นการท่องเที่ยว เนื่องจากท่องเที่ยวในประเทศชะลอตัวอย่างมาก ติดลบ 8% ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา โดยจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า ประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1.มาตรการทางภาษี โดยให้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดคนละ 20,000 บาท มาตรการนี้จะให้สิทธิ์ในการลดหย่อนสำหรับการท่องเที่ยวเมืองหลัก 1 เท่า และเมืองรองให้สิทธิ์ได้ 1.5 เท่า เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-15 ธ.ค.68
2.โครงการเร่งรัดการจัดประชุมสัมมนาของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณของแต่ละภาคส่วนอยู่แล้ว ไม่ใช่งบประมาณใหม่ มีงบประมาณอยู่ ราว 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนราชการ 3,000 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 3,000 ล้านบาท สำหรับการอบรมสัมมนา ยังไม่รวมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งไว้เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว กำหนดให้เบิกจ่าย 60% ของงบอบรมสัมมนาภายในเดือน ม.ค.69 แทนที่จะรอจ่ายในไตรมาส 3-4 ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอจากภาคเอกชน โดยประธานหอการค้าเสนอให้บริษัทนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการพาพนักงานเที่ยวในประเทศมาหักลดหย่อนภาษีได้ เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้
และ 3.มาตรการสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมและที่พัก ให้สิทธิหักค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโรงแรมได้ 2 เท่า สำหรับเมืองรองโดยเฉพาะ โดยให้สิทธิ์ใช้จ่ายได้ถึงเดือน มี.ค.69 โดยสามารถนำไปใช้ในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อลดต้นทุนและความยั่งยืน การจัดทำระบบบำบัดน้ำเสีย ขณะเดียวกันยังมีการพิจารณามาตรการอื่นๆ เช่น การลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยประสานกระทรวงมหาดไทยและกรมสรรพสามิตเชื่อมโยงข้อมูลสถานบริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการถูกต้องสามารถเข้าสู่ระบบและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างครอบคลุม
นอกจากนี้ ได้มีการหารือเรื่องการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2569 วงเงินกว่า 3.78 ล้านล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมามีงบเหลือจ่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า 300,000 ล้านบาท และงบลงทุนเบิกจ่ายได้แค่ 65% เท่านั้น ในปีนี้จึงมีการตั้งเป้าการเบิกจ่ายงบประมาณปกติไว้ที่ 93% และงบลงทุนฯ ไว้ที่ 75% รวมทั้งกำหนดเป็นตัวชี้วัด (KPI) ของหัวหน้าส่วนราชการด้วย โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะติดตามเป็นรายเดือน และรายงานนายกรัฐมนตรีทราบ
ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สัปดาห์นี้เริ่มจากกระทรวงการคลัง ส่วนวันจันทร์ที่ 20 ต.ค. เป็นของกระทรวงพลังงาน ส่วนวันจันทร์ที่ 27 ต.ค. งดประชุม เนื่องจากนายกฯ ติดภารกิจการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย จากนั้นสัปดาห์ถัดไปจะเป็นของกระทรวงพาณิชย์ และทุกนโยบายต่อจากนี้ที่จะใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นายกฯ เน้นย้ำว่าจะต้องมีการทำ Course Benefit เข้าไปด้วยว่าแต่ละนโยบายใช้งบประมาณเท่าไหร่ รายได้ของรัฐจะได้ผลดีผลเสียเท่าไหร่ และสิ่งที่จะได้ต่อประเทศเป็นอย่างไร ทั้งนี้ จากภาพรวมในมาตรการทั้งหมดจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 0.4 % ของจีดีพี
ตีปี๊บคนละครึ่งพลัส
วันเดียวกัน เวลา 08.15 น. ที่ตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง นายเอกนิติได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเปิดลงทะเบียนร้านค้าวันแรกในโครงการคนละครึ่งพลัส พร้อมเปิดเผยว่า จะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 900,000 ร้านค้า ใกล้เคียงกับร้านค้าที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 แต่มีร้านที่ Active ข้อมูลอยู่ราว 100,000 ราย และคาดว่าจะช่วยให้มีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจราว 88,000 ล้านบาท มาจากเงินที่รัฐบาลช่วยสมทบ 44,000 ล้านบาท และการใช้จ่ายของประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท
สำหรับกรณีที่ร้านค้าส่วนใหญ่มีความกังวลใจเรื่องภาษีหากเข้าร่วมโครงการนั้น รองนายกฯ และ รมว.การคลังยืนยันว่า ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในโครงการคนละครึ่งพลัส จะเป็นข้อมูลระบบปิด เป็นความลับของข้อมูล ไม่มีการส่งข้อมูลให้ใคร หรือหน่วยงานใดอย่างแน่นอน แม้แต่กรมสรรพากรไม่สามารถมาดึงข้อมูลตรงนี้ไปได้เช่นกัน ดังนั้นไม่อยากให้กังวลเรื่องภาษี และไม่อยากให้ประชาชนเป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะข้อเท็จจริงแล้วเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องเสียภาษี
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อมสำหรับบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่งพลัส” อาทิ ผู้ประกอบการประเภทรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (แท็กซี่) รถตู้โดยสารประจำทางที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รถยนต์สามล้อสาธารณะ รถสองแถวรับจ้าง และรถจักรยานยนต์สาธารณะ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการประเภทรถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟ รถโดยสารประจำทางสาธารณะ และเรือโดยสารสาธารณะ ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งที่ผ่านมา สามารถลงทะเบียนเพิ่มเติมได้ โดยจากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่ารถไฟฟ้า BTS และ MRT ได้มีการลงทะเบียนเข้าร่วมในโครงการคนละครึ่งแล้ว ยกเว้นรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการใหม่ รวมจำนวน 3 เส้นทางคือ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง รถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ หากลงทะเบียนครั้งนี้ จะส่งผลให้โครงการคนละครึ่งพลัสสามารถรองรับทั้งสิ้น 8 สายทาง
น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.มีความภูมิใจที่จะประกาศว่า “ลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ได้ตอบรับทำหน้าที่เป็นตัวแทนการท่องเที่ยวไทย “Amazing Thailand Ambassador” เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวชั้นนํา “การร่วมงานกับ ‘ลิซ่า’ ในฐานะ Amazing Thailand Ambassador ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการนำเสนอเสน่ห์ ความหลากหลายและความมหัศจรรย์ของเมืองไทยในมุมมองใหม่ที่จะทำให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมค้นพบไปพร้อมกันกับ Amazing Thailand.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


