“อนุทิน-บวรศักดิ์” ยันยุบสภาตามกรอบเดิม ลั่นไม่เบรกซักฟอก “เพื่อไทย” ปรับรูปแบบประชุมเคาะหัวหน้าพรรคเป็นการภายใน “บรู๊ค” บอกตอนนี้มี 4-5 ชื่อ แต่ไม่มีคนในตระกูลชินวัตร แบไต๋หัวหน้าพรรคอาจไม่ได้นั่งแคนดิเดตนายกฯ “สภาสูง” ลงดาบเคสแรก มติท่วมท้นชง ป.ป.ช.ฟัน “นันทนา” ผิดจริยธรรมร้ายแรง
เมื่อวันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงไทม์ไลน์การยุบสภายังเหมือนเดิมใช่หรือไม่ โดยนายอนุทิน พยักหน้ารับพร้อมกล่าวว่า เหมือนเดิม ส่วนที่มีกระแสข่าวนายกฯ พยายามเบรกไม่ให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น นายกฯ กล่าวว่า ไม่เคย การอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่ที่ฝ่ายค้าน หากเกิดขึ้นก็พร้อมชี้แจง
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ กล่าวถึงการยุบสภาเช่นกันว่า ไม่ได้มีอะไร ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามเดิม
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงการยุบสภาว่า เงื่อนไขการยุบสภา 31 ม.ค.2569 เป็นการยุบสภาควบคู่กับการทำประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ คือเป้าหมายที่เรามุ่งหน้าไป และคิดว่าประชาชนก็คงไม่อยากเห็นการใช้อาวุธเรื่องยุบสภาเป็นเครื่องมือในการหนีการตรวจสอบ ดังนั้นพรรค ปชน. ในฐานะฝ่ายค้าน มุมหนึ่งก็อยากเดินหน้าทุกอย่างเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย MOA แต่อีกมุมหนึ่งก็ไม่ละเว้นหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลเช่นกัน ยืนยันว่าเราจะใช้ทุกกลไกในการตรวจสอบ แต่ต้องดูสาเหตุหรือการกระทำของรัฐบาลว่าเหมาะสมใช้กลไกใดตรวจสอบ
วันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ โดยที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ในฐานะแกนนำพรรค ภท. ต้อนรับ นายประสิทธิ์ชัย พงษ์สุวรรณศิริ ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต 1 จังหวัดยะลา ซึ่งนายประสิทธิ์ชัยเป็นน้องชายนายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ สส.ยะลา เขต 1 มา 6 สมัย โดยนายพิพัฒน์มั่นใจว่า เราจะทำได้ไม่น้อยกว่า 30 ที่นั่งในพื้นที่ภาคใต้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุม สส.พรรคประจำสัปดาห์ โดยในที่ประชุมได้หารือถึงคุณสมบัติ รวมถึงตัวบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค พท.คนใหม่ โดยได้เปิดให้ สส.ได้พูดคุยกันอย่างกว้างขวาง
นายดนุพร ปุณณกันต์ รักษาการโฆษกพรรค พท. แถลงภายหลังการประชุมว่า ในวันศุกร์ที่ 31 ต.ค. ที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ ในเวลา 09.30-13.30 น. เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่และกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่นั้น ตามปกติจะเป็นการประชุมแบบเปิด แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน พรรค พท.ได้ปรับรูปแบบเป็นการประชุมภายใน โดยไม่มีการถ่ายทอดภาพและเสียงออกมา
ถามถึงใครเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น นายดนุพรกล่าวว่า ในที่ประชุมได้ถกถึงคุณสมบัติของหัวหน้าพรรคคนใหม่ รวมทั้ง กก.บห. ซึ่งหัวหน้าพรรคมีการเสนอเข้ามาประมาณ 4-5 ชื่อ ซึ่งยังไม่ได้รับการยืนยันว่าใครเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดย 4-5 ชื่อที่มีผู้เสนอมีทั้งรายชื่อที่สื่อนำเสนอไปแล้ว และรายชื่อใหม่ที่ยังไม่ได้พูดถึง ส่วนเรื่องคุณสมบัติมีการพูดถึง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นรุ่นใหญ่ว่าสมควรหรือไม่ที่เป็นหัวหน้าพรรค และมีการพูดถึงการเลือกตั้งในครั้งหน้า ซึ่งหัวหน้าพรรคต้องเป็นคนที่รู้เรื่องเศรษฐกิจ สามารถนำนโยบายพรรคไปดีเบตต่างๆ ได้ เนื่องจากในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2566 ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค ขณะนั้นอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ จึงไม่ได้ไปดีเบต ดังนั้นหัวหน้าพรรคคนใหม่จึงควรเป็นคนที่มีความรู้เรื่องนโยบายที่พรรคจะหาเสียงอย่างรอบด้านมากขึ้น เพื่อให้สามารถออกไปดีเบตกับหัวหน้าพรรคการเมืองและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอื่นได้
นายดนุพรเผยด้วยว่า น.ส.แพทองธารได้เข้าร่วมประชุมด้วย โดยบอกว่าอยากให้ทุกคนช่วยกันเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเข้ามาในที่ประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อให้นำไปเป็นข้อมูลและเตรียมพร้อมในการตัดสินใจวันที่ 31 ต.ค. โดยวันนี้ยังไม่มีคนนามสกุลชินวัตรถูกเสนอชื่อขึ้นมา และคิดว่าในวันที่ 31 ต.ค.นี้ก็ไม่น่ามีการเสนอชื่อคนนามสกุลชินวัตร
เมื่อถามว่า หัวหน้าพรรคจำเป็นต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ในสถานการณ์ขณะนี้ นายดนุพรกล่าวว่า ถ้าดูตามสถานการณ์ในอดีต หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯ
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” โดยระหว่างสัมมนา นายอลงกรณ์ พลบุตร ถามวิทยากรว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้พรรค ปชป.ชนะการเลือกตั้ง เพราะ 33 ปีที่ผ่านมาไม่เคยชนะการเลือกตั้ง นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.การอุดมศึกษาฯ หนึ่งในวิทยากร ตอบคำถามดังกล่าวว่า ในฐานะที่อยู่การเมืองมา จิตวิญญาณไม่เคยมอดไหม้ ก่อนชนะเลือกตั้ง ต้องชนะใจประชาชนก่อน ต้องทำให้ประชาชนคิดว่าเราอยู่แบบนี้ไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่วาทกรรม แต่คือความจริงที่ประชาชนไม่ได้เห็น ที่ต้องทำให้เขาคิดถึงลูกและหลานในอนาคต สิ่งแรกคือความตั้งใจ ในการนำเสนอพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ว่าจะทำอย่างไร จะมาบอกว่าชนะเลือกตั้ง มันเป็นไปไม่ได้
“โจทย์มี 2 เรื่องคือ นอกจากรีเซตพรรคประชาธิปัตย์แล้วต้องรีเซตประเทศไทยด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นการชนะการเลือกตั้ง ไม่ได้หมายความว่าเราจะตอบโจทย์นี้ได้ เพราะเรากำลังเปลี่ยนพื้นฐานของประเทศ ดังนั้นต้องใจเย็น และต้องมองไปไกลๆ ว่าต้องบาลานซ์กันอย่างไร” นายสุวิทย์กล่าว
ขณะเดียวกัน ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณารายงานผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจริยธรรม น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. หลังจากที่คณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ที่มี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง เป็นประธาน ได้พิจารณาแล้วเสร็จ และเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภาให้พิจารณารายละเอียดและลงมติ ทั้งนี้ ในการพิจารณาดังกล่าว ได้ใช้พิจารณาเป็นการลับ โดยได้ใช้เวลาประชุมลับนานกว่า 5 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้กลับมาพิจารณาโดยเปิดเผยอีกครั้งเมื่อเวลา 14.42 น. โดยนายมงคลแจ้งต่อที่ประชุมตอนหนึ่งว่า เสียงข้างมากเห็นว่ากรณีเรื่องร้องเรียนของ น.ส.นันทนา ฐานะผู้ถูกร้อง ได้มีการกระทำเป็นอันฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ.2563 ข้อ 14, 18, 24, 29 และ 31 และให้มีการลงคะแนนโหวต แต่เมื่อมีการลงคะแนนแล้วก็มีทักท้วงลงคะแนนว่าไม่เป็นการลับ เพราะมีการแสดงผลการลงคะแนนผ่านหน้าจอในห้องประชุม ทำให้ประธานต้องขอพัก 15 นาที และเมื่อกลับมาลงคะแนนใหม่อกครั้ง ประเด็นที่ว่าจะเห็นชอบกับผลของรายงานตรวจสอบจริยธรรมหรือไม่ มติที่ประชุมเสียงข้างมาก 130 เสียงเห็นชอบ ต่อเสียงไม่เห็นชอบ 23 เสียง ทั้งนี้มีผู้งดออกเสียง 11 เสียง และไม่ลงคะแนน 2 ต่อจากนั้นได้ลงมติว่าจะเห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ โดยมติเสียงข้างมาก 130 เสียงเห็นด้วย ต่อคะแนนไม่เห็นด้วย 26 เสียง และงดออกเสียง 11 เสียง ทั้งนี้มีผู้ไม่ลงคะแนน 2 เสียง ถือว่าที่ประชุมลงมติ 3 ใน 5 เสียงของ สว.ที่มีอยู่ หรือ 119 คะแนน ถือว่า สว.มีมติว่า น.ส.นันทนากระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง หลังจากนี้จะส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับการส่งเรื่องให้ที่ประชุมพิจารณากรณีผิดจริยธรรม และให้ถือว่าเป็นการผิดจริยธรรมร้ายแรงในกรณีของ น.ส.นันทนานั้น ถือเป็นเคสแรกของ สว.ปัจจุบัน
น.ส.นันทนาแถลงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือภายหลังที่ทราบมติว่า มติของวุฒิสภาวันนี้เป็นมติอัปยศ สะท้อนชัดเจนว่าวุฒิสภาแห่งนี้มีเจ้าของ สั่งการได้ ไม่ว่าต้องการอะไร จะสามารถกดปุ่ม และให้เดินหน้าไปตามนั้นได้ นี่คือการสมคบคิดมาตั้งแต่ต้น เพราะผู้ที่มาร้องนั้นเป็นทนาย ซึ่งรับจ้างมา และวันที่พบกับตนก็มาขอโทษ บอกว่าอาจารย์เป็นคนดีแต่ต้องทำ
ด้าน น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว. ในฐานะกรรมการจริยธรรม ได้มาให้กำลังใจ น.ส.นันทนา สะอื้นพร้อมกล่าวว่า วันนี้ได้เห็นภาพที่สะเทือนใจ สว.ผู้หญิงของเรา ผู้กล้าหาญที่จะต่อสู้ วันนี้ถูกรุม คำพูดที่พูดจากใจ กลับกลายเป็นความผิดใหญ่หลวง ผิดวินัยร้ายแรง ทุกอย่างประจักษ์สายตาประชาชนอยู่แล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน


